วิธีคำนวณปั๊มสระว่ายน้ำ (Flow Rate) และเลือกปั๊มที่ใช่ เพื่อน้ำใสประหยัดไฟ
- Kong
- Feb 24
- 2 min read
Updated: 2 days ago

ปั๊มสระว่ายน้ำ คืออะไร? วิธีคำนวณ Flow Rate และเลือกปั๊มที่เหมาะสมที่สุด
ปั๊มสระว่ายน้ำ คือ "หัวใจ" ของระบบหมุนเวียนและกรองน้ำในสระ ทำหน้าที่ดึงน้ำจากสระผ่านสกิมเมอร์ (Skimmer) และท่อระบายหลัก (Main Drain) ก่อนจะดันน้ำผ่านตัวกรองเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก และส่งน้ำสะอาดกลับเข้าสู่สระ
การเลือก ปั๊มสระว่ายน้ำ ที่มีขนาดเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าน้ำในสระจะสะอาด ปราศจากการสะสมของสิ่งสกปรกเท่านั้น แต่ยังช่วย ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ทั้งค่าไฟฟ้า และค่าซ่อมบำรุงที่เกิดจากการสึกหรอของอุปกรณ์ที่ทำงานหนักเกินไป
สูตรคำนวณปริมาตรน้ำในสระว่ายน้ำ (V)
ก่อนจะคำนวณอัตราการไหล (Flow Rate) คุณต้องทราบปริมาตรน้ำทั้งหมดในสระของคุณก่อน (หากมีน้ำตก น้ำพุ หรือระบบพ่นน้ำ ควรบวกเพิ่มปริมาตรน้ำในระบบเสริม 5-10% ของปริมาตรทั้งหมด)
สระว่ายน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า:
กว้าง x ยาว x ความลึกของสระ x 7.5 = ปริมาตร (แกลลอน)
สระว่ายน้ำรูปทรงกลม:
เส้นผ่านศูนย์กลางของสระ ÷ 2 เพื่อให้ได้รัศมีของสระ หลังจากนั้นให้ใช้สูตร 3.14 × รัศมีที่หาร 2 แล้ว × ลึก × 7.5 = ปริมาตร (แกลลอน)


วิธีคำนวณปั๊มสระว่ายน้ำ
การคำนวณอัตราการไหลของ ปั๊มสระว่ายน้ำ (Flow Rate)
อัตราการไหลของ ปั๊มสระว่ายน้ำ (Flow Rate) หมายถึงปริมาณน้ำที่ ปั๊มสระว่ายน้ำ สามารถสูบได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปเราควรให้ปั๊มสระว่ายน้ำสามารถหมุนน้ำในสระว่ายน้ำทั้งหมดได้ใน 8 ชั่วโมง เพื่อรักษาความสะอาดและสมดุลของน้ำในระบบ เราจะสามารถคำนวณอัตราการไหลที่ต้องการได้จากสูตร:
ตัวอย่าง : สระว่ายน้ำ ที่มีปริมาตร 75,000 ลิตร และต้องการหมุนเวียนน้ำภายใน 8 ชั่วโมง
ในกรณีที่ต้องการการกรองน้ำที่รวดเร็วขึ้น เช่น สำหรับสระที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก อาจพิจารณาใช้เวลาในการหมุนเวียนที่สั้นลง
เช่น 6 ชั่วโมง เพื่อให้การกรองน้ำมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการเลือกปั๊มสระว่ายน้ำที่มีขนาดใหญ่เกินไปอาจทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นการเลือกปั๊มสระว่ายน้ำที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ดีมากกว่าคุณควรคำนึงถึงการไหลเวียนเพิ่มเติมที่อาจจำเป็นสำหรับอุปกรณ์เสริม เช่น ระบบน้ำตกหรือพ่นน้ำ ซึ่งต้องการอัตราการไหลเพิ่มเติมประมาณ 10-15% จากที่คำนวณไว้ เพื่อให้ระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด อัตราการไหล คือ ปริมาณน้ำที่ปั๊มสระว่ายน้ำสามารถหมุนเวียนในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ได้ทั้งหมด เช่น ระบบควรหมุนเวียนน้ำทั้งหมดในสระได้ภายใน 8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปนั่นเอง
สูตรการคำนวณ
อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง) = ปริมาตรน้ำในสระว่ายน้ำ (ลิตร) ÷ ระยะเวลาการหมุนเวียน (ชั่วโมง) อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง) = ปริมาตรน้ำในสระ (ลิตร) \div ระยะเวลาการหมุนเวียน (ชั่วโมง) อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง) = ปริมาตรน้ำในสระว่ายน้ำ (ลิตร) ÷ ระยะเวลาการหมุนเวียน (ชั่วโมง)
ขั้นตอนการคำนวณ
Q = อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง หรือ ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง)V = ปริมาตรของสระว่ายน้ำ (ลิตร หรือ ลูกบาศก์เมตร)T = เวลาในการหมุนเวียนน้ำ 1 รอบ (ชั่วโมง)
คำนวณปริมาตรสระว่ายน้ำ (V)
V = ความยาว×ความกว้าง×ความลึกเฉลี่ย หากปริมาตรคิดเป็นลูกบาศก์เมตร ให้คูณด้วย 1,000 เพื่อแปลงเป็นลิตร (1 ลูกบาศก์เมตร = 1,000 ลิตร)
กำหนด เวลาในการหมุนเวียนน้ำ (T)
เวลาในการหมุนเวียนน้ำของสระว่ายน้ำโดยทั่วไป :
สระว่ายน้ำทั่วไป 6-8 ชั่วโมง
สระสำหรับเด็ก 2-4 ชั่วโมง
สระในโรงแรม/สาธารณะ 4-6 ชั่วโมง
คำนวณ Flow Rate (Q)
นำค่าปริมาตรของสระ (V) หารด้วย เวลาในการหมุนเวียนน้ำ (T)
การพิจารณาปัจจัยอื่นๆ วิธีคำนวณปั๊มสระว่ายน้ำ

ปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาในการเลือกปั๊มสระว่ายน้ำ
นอกจากอัตราการไหลแล้ว การเลือก ปั๊มสระว่ายน้ำ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดยังต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้:
ประเภทตัวกรอง: ตัวกรองแต่ละชนิดมีข้อกำหนดแรงดันต่างกัน
ตัวกรองทราย (Sand Filter): ต้องการแรงดันสูงกว่า และมีราคาถูกที่สุด
ตัวกรองตลับ (Cartridge Filter): ดูแลรักษาง่าย, มีอายุการใช้งาน 2-4 ปี
ตัวกรองดินเบา (DE Filter): มีราคาสูงที่สุด แต่ให้คุณภาพน้ำที่สะอาดละเอียดที่สุด
แรงเสียดทานในระบบท่อ: หากท่อมีความยาวมาก, มีข้อต่อหรือโค้งงอมาก จะเกิดแรงต้านสูง อาจต้องเลือกปั๊มที่มีกำลังเพิ่มขึ้น หรือใช้ท่อที่มีขนาดใหญ่ (แนะนำท่อดูดไม่เล็กกว่า 2 นิ้ว)
ระยะห่างระหว่างปั๊มและสระ: ยิ่งปั๊มอยู่ไกลจากสระมากเท่าไร ประสิทธิภาพของปั๊มก็จะลดลงเท่านั้น อาจต้องเพิ่มกำลังปั๊มเพื่อชดเชยการสูญเสียแรงดัน
การใช้งานเพิ่มเติม: หากสระมี น้ำตก, น้ำพุ, หรือระบบสปา อาจต้องเพิ่มปั๊มแยก หรือเลือกปั๊มหลักที่รองรับอัตราการไหลที่เพิ่มขึ้น 10-15% เพื่อให้ระบบเสริมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การติดตั้งที่ถูกต้อง: ควรติดตั้งตัวปั๊มให้ใกล้สระที่สุด จัดวางในที่ที่มั่นคงแข็งแรง และระวังไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าสู่มอเตอร์เพื่อป้องกันความเสียหาย
ตัวกรองทรายหรือตลับ

รุปแบบไส้กรองอาจจะเป็นการกรองดินเบา (DE) ไส้กรองสำหรับทราย หรือไส้กรองแบบตลับ โดยในส่วนของไส้กรอง DE จะมีราคาแพงที่สุด แต่ได้น้ำในสระที่สะอาดสุดเหมือนกัน
ไส้กรองแบบตลับนั้นดูแลได้ง่าย ถ้าเราทำความสะอาดทุก 4 ถึง 6 เดือน ตัวกรองนั้นก็จะมีอายุการใช้งาน 2 - 4 ปี ส่วนตัวกรองทรายนั้นมีราคาถูกที่สุด แต่ไม่สามารถกรองน้ำได้ดีเหมือนแบบ DE และตัวกรองประเภทอื่นๆ
การติดตั้ง ปั๊มสระว่ายน้ำที่ถูกต้อง
การติดตั้งตัวเครื่องปั๊มน้ำ ควรที่จะทำการติดตั้งให้อยู่ภายในบริเวณสระน้ำ หรือให้ใกล้สระน้ำมากที่สุดและจัดวางเอาไว้ในที่ที่เหมาะสม รวมถึงควรมีความมั่นคงแข็งแรงเพื่อเป็นไปตามความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน การเลือกเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อน้ำที่ ใช้ควรมีขนาดใหญ่กว่าหรือเท่ากับท่อน้ำผั่งขาออกของปั๊มน้ำ หากเป็นไปได้ควรจะใช้ท่อดูดขนาดเส้นผ่าสูญกลางไม่เล็กกว่า 2 นิ้ว
รางรับน้ำที่ล้นออกมาควรจะมีความลึกอยู่ที่ 20 cm
ส่วนการคำนวณพื้นที่สำรองน้ำกรณีที่มีผู้ลงใช้งานเต็มสระดังนี้ :
ต่อ 1 คนจะใช้พื้นที่ 1 ตรม.
1 คน จะแทนที่น้ำ ประมาณ 75 ลิตร
75 x จำนวนคนที่ลงเต็มสระ = ส่วนของน้ำที่ต้องเตรียมพื้นที่สำรอง
สระส่วนตัวต่อ 1 คนใช้จะพื้นที่คิดเป็น 2 ตรม. / 1 คน จะมีปริมาตรแทนที่น้ำอยู่ที่ประมาณ 75 ลิตร 75 x จำนวนคนที่ลงเต็มสระ ทำการคำนวนตามสูตร ( ขนาดสระ (ตรม.) ÷ 2 ) = น้ำที่ต้องเตรียมพื้นที่สำรอง
สรุป: การเลือก ปั๊มสระว่ายน้ำ ที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาหรือกำลังไฟเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มต้นจากการคำนวณปริมาตรและอัตราการไหล (Flow Rate) ที่แม่นยำ พร้อมพิจารณาปัจจัยด้านตัวกรองและระบบท่อ เพื่อให้ได้ระบบที่ประหยัดพลังงานและคงความใสสะอาดของน้ำได้ยาวนานข้อมูลเพิ่มเติม
Tel. 02-292-1067-70
Youtube : Leopump ประเทศไทย
Line Official : @775ruust
Facebook : LEOpumpThailand
TikTok : Leopumpthailand




Comments