top of page

Search Results

43 items found for ""

  • ถังแรงดันไดอะแฟรมคืออะไร? สำคัญอย่างไร?

    ถังแรงดันไดอะแฟรม ถังแรงดันไดอะแฟรมคืออะไร? สำคัญอย่างไร? ถังควบคุมแรงดันน้ำ หรือ  Pressure Tank   คือ ถังที่มีไว้เก็บน้ำซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจากการสูบของปั๊มน้ำกับการไหลออกของน้ำที่จุดจ่ายน้ำมาหน่วงเก็บไว้ในตัวถัง และจ่ายออกไปแทนปั้ม มักนิยมใช้ตาม อาคาร คอนโดเนียม โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือน เป็นต้น   โครงสร้าง ถังแรงดันไดอะแฟรมมีลักษณะเป็นถังปิด โดยมี “ไดอะแฟรม” (แผ่นยางยืดหยุ่น) อยู่ภายในแบ่งเป็นสองส่วน 1.    ส่วนที่มีน้ำ  ซึ่งเชื่อมต่อกับท่อส่งน้ำ 2.    ส่วนที่มีอากาศ  ที่อยู่เหนือไดอะแฟรม   หลักการทำงานของถังควบคุมแรงดัน หลักการการทำงาน คือ เมื่อเปิดปั๊มน้ำ ปั๊มจะทำการสูบน้ำไปเก็บไว้ในถังก่อนซึ่งจะมีไดอะแฟรมภายในถังทำหน้าที่เก็บน้ำอยู่ ถุงก็จะขยายตัวออก จนเมื่อน้ำเต็มถุงแล้วแมจะตัดการทำงาน และเมื่อเรามีการใช้น้ำน้ำจะถูกส่งออกจากถังแรงดันก่อนเป็นอันดับแรกโดยปั๊มน้ำยังไมได้เริ่มการทำงาน อย่างเช่น ตามบ้าน อาคารที่ใช้ปั๊มน้ำทั่วไปที่ไม่มีถังควบคุมแรงดันน้ำ  พอเปิดน้ำปั๊มจะเริ่มทำงานทันทีอาจทำให้เกิดเสียงดัง เนื่องจากแรงดันของความแรงปั๊มในท่อ ทำให้เกิดปฎิกิริยาที่เรียกว่า Water Hammer แต่เมื่อถ้าใช้ถังควบคุมแรงดันน้ำ แล้วเปิดน้ำ ปั๊มจะยังไม่ทำงาน แต่จะใช้น้ำในถังก่อน จนแรงดันตก ปั๊มจึงจะกลับมาทำงานอีกครั้ง เพื่อสูบน้ำเข้ามาเติมในถัง   ถังแรงดันไดอะแฟรมสำคัญอย่างไร ? 1.    รักษาแรงดันน้ำให้คงที่:  เมื่อเราเปิดใช้น้ำ น้ำในถังแรงดันจะถูกนำมาใข้งานก่อน ทำให้แรงดันน้ำไม่ลดลงอย่างรวดเร็ว และปั๊มน้ำจะไม่ทำงานบ่อยเกินไป ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของปั๊มน้ำ 2.    ป้องกันปัญหา Water Hammer :  เมื่อปั๊มหยุดทำงานโดยฉับพลัน น้ำที่ไหลในท่อจะหยุดลงด้วยทันที อาจทำให้เกิดแรงกระแทกหรือแรงดันกระชากในท่อ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อท่อและอุปกรณ์ต่างๆ ถังไดอะแฟรมมีส่วนช่วยดูดซับแรงกระแทกเหล่านี้ไว้ 3.    ลดการทำงานของปั๊ม :  เนื่องจากมีถังไดอะแฟรมเก็บน้ำสำรองไว้ ทำให้ปั๊มน้ำไม่ต้องทำงานบ่อยครั้ง ช่วยประหยัดพลังงาน 4.    ป้องกันปั๊มทำงานเมื่อน้ำแห้ง :  ถ้าไม่มีถังไดอะแฟรม ปั๊มอาจทำงานจนน้ำในระบบหมด ทำให้ปั๊มทำงานแห้งและเสียหายได้   สำหรับการทำงานของปั๊มน้ำที่ไม่มีถังแรงดัน ในระหว่างที่ปั๊มน้ำหยุดทำงานเนื่องจากความดันอยู่ในระดับที่ต้องการแล้ว หากมีการใช้งานน้ำขึ้นมา ความดันในระบบจะลดต่ำลงเรื่อยๆ  จนถึงจุดที่ปั๊มน้ำต้องทำงานอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น ปั๊มน้ำอาจจะทำงานต่อเนื่อง หรือทำงานแบบตัดต่อบ่อยๆ ทำให้อายุการใช้งานของปั๊มน้ำนั้นลดลง เมื่อปั๊มน้ำหยุดทำงาน หากมีการใช้น้ำความดันของระบบจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดที่ปั๊มน้ำกลับมาทำงานอีกครั้ง ทำให้ระหว่างนี้ความดันในระบบไม่คงที่ ทำให้แรงดันไม่สม่ำเสมอ น้ำที่ใช้นั้นอาจจะแรงไม่สม่ำเสมอหรือน้ำเบา ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานน้ำในปริมาณมาก เช่น ในอาคารสูง จึงต้องควรมีถังแรงดัน ประกอบเป็นชุด Bootster Pump ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องอายุการใช้งานปั๊ม และแรงดันน้ำไม่สม่ำเสมอได้   Mini Booster ถังแรงดันไดอะแฟรม ส่วนประกอบของถังแรงดัน ตัวถังแรงดัน ตัวถังจะมีทั้งแบบทรงตั้งและทรงนอน โดยมีถุงยางไดอะแฟรมอยู่ภายใน ถุงไดอะแฟรม คือถุงที่ใช้บรรจุน้ำภายในถังแรงดันไดอะแฟรม โดยส่วนใหญ่มักมีสีดำ ผลิตมาจากวัสดุหลากหลาย เช่น Butyl ที่สามารถใช้งานกับน้ำดื่มได้ และคุณภาพสูง , EPDM เป็นยางสังเคราะห์ที่มีความยืดหยุ่นสูง , หรือยางธรรมชาติ แรงดันลม ลมที่อยู่ระหว่างถังกับไส้ยางไดอะแฟรม เพรชเชอร์เกจ (มีเฉพาะบางรุ่น )  อุปกรณ์ใช้สำหรับวัดแรงดันภายในถัง     วิธีการเลือกซื้อ ต้องรู้แรงดันของน้ำที่ใช้งาน เพื่อปรับความดันให้เหมาะสมกับการใช้งาน เลือกขนาดให้เหมาะสมกับการใช้งาน ทั้งปั๊มน้ำและถังแรงดัน เลือกวัสดุที่มีคุณภาพ ข้อควรระวังในการใช้งาน ควรหมั่นเช็คลมในถังแรงดัน ทุก ๆ เดือน ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand   TikTok : Leopumpthailand

  • Reverse Osmosis หรือ RO คืออะไร?

    ระบบ Reverse Osmosis  คือ การกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำโดยใช้แรงดันจาก ปั๊มน้ำ สำหรับอัดเข้าเมมเบรน ชนิดพิเศษที่มีรูพรุนขนาดเล็กมาก (ละเอียด 0.0001) ไมครอน เพื่อเป็นการปิดกั้นสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ไม่ให้ผ่านออกไปได้ เช่น เชื้อไวรัส , สารตะกั่ว , สารหนู , ยาฆ่าแมลง , ปุ๋ยเคมี สามารถกำจัดสารเคมีโลหะหนักและเชื้อโรคต่างๆ ในน้ำได้มากถึง 95 % Reverse Osmosis หรือ RO คืออะไร? ระบบ RO ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีการกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และยังได้รับการรับรองจาก EPA (Environmental Protection Agency – USA) ซึ่งเป็นองค์กรปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาว่าสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อน และสารพิษต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะน้ำ RO มีความสะอาด รวมถึงมีรสชาติที่ดอีกด้วย กรองน้ำระบบ RO หลักการทำงานของ Reverse Osmosis (RO) ก่อนที่น้ำจะไปถึงไส้กรอง RO จะต้องผ่านไส้กรองด่านหน้าก่อน ซึ่งจะเป็นไส้กรองสำหรับกำจัดตะกอน และคลอรีน เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้ ไปอุดตันหรือสร้างความเสียหายให้กับไส้กรอง RO ซึ่งการจะเป็นการดี ถ้าเรามีไส้กรองด้านหน้า 3 อัน ได้แก่ ไส้กรอง PP, ไส้กรองคาร์บอน และไส้กรองเรซิ่น  เมื่อน้ำไหลผ่าน 3 ชั้นนี้แล้ว น้ำจะถูกปั๊มอัดแรงดัน ดันน้ำเข้าสู่ไส้กรอง RO หลังจากผ่านไส้กรอง RO มาแล้วก็จะเจอกับ ไส้กรอง Post Carbon ตัวนี้จะทำหน้าที่กำจัด สี กลิ่น คลอรีน และปรับรสชาติของน้ำให้น่าดื่มเป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนการกรองน้ำในแต่ละขั้นจะเป็น ดังนี้   1. ไส้กรอง PP Sediment Filter : ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกขนาดเล็กที่ปนเปื้อนมากับน้ำ เช่น ฝุ่น ตะกอน สารแขวนลอย เป็นขั้นตอนที่ 1 ของการกรองน้ำ 2. ไส้กรอง Pre-Carbon / Block Carbon Filter : ทำหน้าที่กรองคลอรีน กลิ่น สี กำมะถัน สารอินทรีย์ และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่ปะปนมากับน้ำเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการกรองน้ำ หากขาดไส้กรอง 2 ขั้นตอนแรก ไส้กรอง RO จะอุดตันเร็วมากๆ 3. ไส้กรอง Resin / Ion Exchange Filter : ทำหน้าที่ดักจับหินปูนที่ปะปนมากับน้ำ และกำจัดความกระด้างของน้ำ เป็นขั้นตอนที่ 3 ของการกรองน้ำ หากขาดขั้นตอนนี้จะทำให้น้ำมีความกระด้าง ดื่มแล้วรู้สึกไม่ลื่นคอ 4. ไส้กรอง RO Membrane : กรองสารละลายมวลรวม (Total Dissolve Solids หรือเรียกย่อๆว่า TDS) จะทำให้น้ำ ปราศจากเชื้อโรค ไวรัส สิ่งสกปรกและสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นสารหนู ตะกั่ว แบคทีเรีย จึงมั่นใจได้ว่าน้ำที่ผ่านจาก ระบบ RO เป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์สูงสุด เนื่องจากระบบอื่นไม่สามารถกรองละเอียดถึงระดับไวรัสได้ 5. ไส้กรอง Post Carbon : ทำหน้าที่กำจัดกลิ่น สี สารเคมีปนเปื้อน และสารกัมมันตรังสี รวมถึงปรับรสชาติของน้ำให้มี ความเป็นธรรมชาติและน่าดื่ม   ไส้กรอง RO  น้ำจากระบบ RO ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน หลังจากน้ำผ่านการกรองครับทุกขั้นตอนแล้ว น้ำจะถูกเก็บไว้ในถังแรงดันเพื่อสำรองน้ำจนกว่าจะเต็มถัง ระบบ RO ก็จะปิดการทำงาน และเมื่อเวลาเราเปิดก๊อกน้ำ น้ำก็จะไหลจากถังออกมาสู่ก๊อกน้ำที่เราเปิด ระบบ RO มีการแบ่งน้ำออกเป็น 2 ส่วน น้ำดี – เป็นน้ำที่ผ่านการกรองเพื่อใช้ดื่ม มีประมาณ 30-40% น้ำทิ้ง – เป็นน้ำที่มีสารปนเปื้อนหลงเหลือ โดยน้ำส่วนนี้จะไหลออกไปอีกสายหนึ่งเพื่อลงท่อน้ำทิ้ง จึงต้องมี  Flow Restrictor เพื่อช่วยจำกัดอัตราปริมาณน้ำทิ้งเพื่อช่วยประหยัดน้ำ   ทำไมต้องมี ถังแรงดัน? ถังแรงดัน RO เปรียบเสมือนถังน้ำสำรองของระบบ RO เพราะการผลิตน้ำของระบบ RO จะปล่อยน้ำออกมาอย่างช้าๆ ใช้เวลานานกว่าระบบอื่นค่อนข้างมาก หากมีการใช้น้ำอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการสำรองน้ำเลย เราจะไม่สามารถใช้น้ำได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้ามีถังแรงดันจะทำให้เราสามารถใช้น้ำต่อเนื่องได้เลย โดยไม่ต้องรอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณถังแรงดันด้วยว่ามีขนาดกี่ลิตร ถังแรงดัน เราควรดื่มน้ำจากระบบ Reverse Osmosis ไหม? ถึงแม้ว่าน้ำที่ได้จากระบบ Reverse Osmosis (RO) จะกำจัดแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียมออกจากน้ำไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้น้ำ RO ส่งผลเสียกับเรา เราดื่มน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับร่างกาย หล่อลื่นข้อต่อ เพราะร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 70-80% ด้วยกัน ดังนั้นเราควรดื่มน้ำจากระบบ RO ไหม ?  ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเอง ไม่มีอะไรน่ากังวล   " อายุการใช้งานของไส้กรองน้ำ RO " ไส้กรองน้ำแต่ละชนิด มีอายุการใช้งานแตกต่างกันครับ อย่างไส้กรองน้ำ PP Sediment, ไส้กรองน้ำ Pre-Carbon, ไส้กรองน้ำ Resin และไส้กรองน้ำ Post Carbon จะมีอายุการใช้งานประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำของแต่ละพื้นที่ แต่ไส้กรองน้ำ RO มีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี " ข้อดีของระบบ Reverse Osmosis " เป็นระบบการกรองที่มีความสะอาดที่สุด กรองน้ำได้ละเอียดมากถึง 0.0001 ไมครอนนิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดตามท้องตลาด, ยา, วงการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ,และทุกวงการที่ต้องการความสะอาดของน้ำเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำบาดาล น้ำกร่อย หรือน้ำอะไรก็ตามที่ผ่านระบบ RO สามารถนำไปใช้บริโภคได้ทันที ในการนำระบบกรองน้ำ RO เข้ามาใช้ ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าและบริการจะมีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เป็นการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ กำจัดสารละลายมวลรวม หรือของแข็งที่อยู่ในน้ำ ( Total Dissolve Solids  หรือเรียกย่อๆว่า TDS) จนกลายเป็น 0 ได้แก่ - สารเคมีที่เป็นพิษและอันตรายต่อร่างกาย - คลอรีนที่มีกลิ่นเหม็น - โลหะหนัก สารตกค้าง สารปนเปื้อน สารพิษ - เชื้อโรค แบคทีเรีย ฝุ่น ผง ละออง - แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และอื่นๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้น้ำมีรสชาติดี ไม่มีกลิ่นเหม็น เหมาะกับการดื่มน้ำและใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆที่ใช้น้ำในการผลิต เช่น ยา อาหารและเครื่องดื่ม น้ำแข็ง ที่สำคัญไม่ว่าแหล่งน้ำเราจะเป็นน้ำประปา น้ำบาดาล หรือน้ำกร่อยก็ใช้ระบบนี้กรองได้ทั้งหมด เป็นระบบกรองที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับมากที่สุด เพราะสะอาด ปลอดภัย และรสชาติอร่อย ทำให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง และใช้งานได้หลากหลาย   >> บทความเริ่มต้นธุรกิจน้ำดื่ม << ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand   TikTok : Leopumpthailand

  • Cavitation คืออะไร สำคัญอย่างไร

    Cavitation คืออะไร ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Cavitation (คา-วิ-เต-ชั่น) กันครับ ว่ามันคืออะไร ? และสำคัญอย่างไร ? Cavitation effect หรือ โพรงอากาศ เป็นปรากฏการณ์ที่มักจะสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์จำพวก ปั้ม (Pump) และ วาล์วควบคุม (Control valve) และอุปกรณ์อื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับของเหลว ความดัน และอุณหภูมิ ซึ่งลักษณะของความเสียหายจะมีลักษณะคล้ายเป็นรูพรุน เหมือนโดนเข็มเจาะด้านล่าง ซึ่ง Cavitation Effect หรือ โพรงอากาศนี้ สามารถเจาะเข้าเนื้อโลหะหรือเหล็กได้เลยทีเดียว ความเสียหายจาก Cavitation Cavitation คืออะไร ? Cavitation หลักนั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ 1. เมื่ออุณหภูมิของเหลวเพิ่มขึ้น 2. เมื่อความดันลดลง ( การลดความดัน ที่เปรียบเสมือนแรงกดพื้นผิวของเหลวที่ไหลไม่ให้กลายตัวเป็นไอ การลดความดันก็มีหลายแบบอาจใช้ vacuum pump )   การเกิด Cavitation Cavitation คือ การเกิดโพรงอากาศในของเหลว จะเกิดขึ้นเมื่อแรงดันในของเหลวที่อุณหภูมิคงที่ ลดลงต่ำกว่าจุดเดือดไอน้ำ และเกิดเป็นเป็นไอขึ้นมา จากนั้นของเหลวที่กลายเป็นไอกลับกลายมาเป็นของเหลวอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่สร้างความเสียหายนั้น เกิดจากในช่วงของเหลวเป็นไอ และกลับกลายเป็นของเหลวอีกครั้ง จะเกิดปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า “Single cavitation bubble” ซึ่งก็คือ การที่หยดของเหลวเกิดการยุบตัว โดยหยดของเหลวมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.3 mm แล้วส่วนหนึ่งกลายสภาพเป็นของเหลวที่เป็นก๊าซแล้ว จะเกิด Shear flow ทำให้ดูดก๊าซเกิดเป็นปรากฏการณ์ microjet พุ่งเข้าทำลายเนื้อชิ้นงานเกิดเป็นความเสียหายแบบรูพรุน (Pitting) การเกิด Cavitation ถ้าเป็นในกรณีของปั๊มน้ำ ตัวอย่างก็เช่น ถ้าความดันด้านขาดูดไม่เพียงพอเท่าที่ปั้มน้ำต้องการ ก็สามารถทำให้เกิด Cavitaiton ได้เช่นกัน Pump Cavitation โดยหากเราสังเกตุทิศทางเข้าของปั้มจะพบว่าช่วงขาดูดปั้มจะเกิดการลดลงของความดันของของเหลว หากความดันที่ถูกดูดลดลง (Suction pressure)น้อยกว่าความดันไอ (Vapor pressure) สถานะของของเหลวจะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซ แล้วเมื่อของเหลววิ่งเข้าไปในตัวปั้มเรื่อยๆ ปั้มจะสร้างความดันกลับมา ของเหลวที่อยู่ในสถานะก๊าซก็จะกลับไปเป็นของเหลวอีกครั้งนึง ซึ่งจะก่อให้เกิด Cavitation effect เข้าไปทำลายชิ้นส่วนด้านในอุปกรณ์ของตัวปั้ม ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นรูพรุนนั่นเอง Pump Cavitation ดังนั้นในการป้องกันไม่ให้เกิด Cavitation ในกรณีนี้ ต้องตรวจสอบความดันขาเข้าปั๊ม ต้องให้ไม่น้อยกว่าสเป็คที่ปั๊มน้ำต้องการ ไม่ใช่แค่ปั้มที่จะเกิดความเสียหายจาก Cavitation effect กรณีที่พบบ่อยจะเป็นกรณีของวาล์วด้วยเช่นกัน คือ การที่วาล์วถูกหรี่มากๆ จะทำให้ของเหลวที่ผ่านหน้าวาล์วมีความเร็วสูง ซึ่งเมื่อของเหลววิ่งผ่านด้วยความเร็วสูง ความดันก็จะลดลง และทำให้เกิดการเปลี่ยนสถานะของเหลวกลายเป็นไอ และเมื่อผ่านหน้าวาล์วไปความเร็วลดลงความดันเพิ่มขึ้น ก็จะกลับมาเป็นของเหลวอีกครั้งทำให้เกิด Cavitation effect ทำให้ด้านในวาล์วเกิดความเสียหายด้วยเช่นกัน ความเสียหายจาก Cavitation บทความ >> Water Hammer คืออะไร ? << ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand   TikTok : Leopumpthailand

  • ปั๊มเจ็ท VS ปั๊มบาดาล ใช้แบบไหนดีกว่ากัน ?

    บางคนอาจมีคำถามในใจว่า บริเวณพื้นที่ที่เราต้องการสูบน้ำ ขนาดของบ่อที่ท่านมีแบบนี้ ควรเลือกใช้ปั๊มชนิดไหนดี โดยเฉพาะการสูบหรือดูดน้ำจากบริเวณบ่อที่ค่อนข้างลึก โดยมีจุดประสงค์ในใช้งานเพื่อชลประทานขนาดเล็กหรือสปริงเกอร์,  งานกาเกษตร , อุตสาหกรรม ,และประปาในครัวเรือน ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าเราควรจะใช้ปั๊มน้ำอะไร ? ปั๊มเจ็ท VS ปั๊มบาดาล ใช้แบบไหนดีกว่ากัน   โดยการเปรียบเทียบปั๊มที่สามารถสูบน้ำจากบ่อได้ลึกใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ ปั๊มบาดาล และ ปั๊มเจ็ท นั้นมีข้อดีที่แตกต่างอยู่ได้แก่ 1 .ปั๊มเจ็ท ปั๊มเจ็ท ปั๊มเจ็ทคู่ มีให้เลือกทั้ง ปั๊มเจ็ท คู่ และ ปั๊มเจ็ทเดี่ยว ใช้กับบ่อขนาดเล็กได้ดี ได้ถึง 2 นิ้ว มีการเพิ่มแรงดันเสริมในการไหลเวียนของน้ำ มักมาพร้อมกับอุปกรณ์ควบคุมการทำงาน จึงทำให้ใช้งานได้สะดวกและง่าย ปั๊มน้ำติดตั้งบนบก จึงทำให้ดูแลรักษาง่าย ดูดลึกสูงสุดประมาณ 30-45 เมตร ขั้นตอนการติดตั้งซับซ้อนกว่าปั๊มบาดาล 2.  ปั๊มบาดาล ปั๊มบาดาล มีให้เลือกทั้งแบบไฟบ้านธรรมดาและแบบใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ มีให้เลือกหลายรุ่น หลายขนาดมากกว่าปั๊มเจ็ท ใช้กับบ่อขนาด 3 นิ้วขึ้นไป และขนาดที่หลากหลายกว่า การติดตั้งค่อนข้างง่ายและไม่ซับซ้อน  ส่งน้ำได้สูงมาก การบำรุงรักษาจำเป็นต้องดึงปั๊มน้ำขึ้นมาจากบ่อ สรุป ระดับน้ำ ถ้าน้ำอยู่ระดับผิวดินไม่เกิน 9 เมตร การเลือกใช้ปั๊มเจ็ทจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าระดับน้ำผิวดินลึกระหว่าง 9-30 เมตรควรเลือกใช้ปั๊มบาดาลมากกว่า เพราะสามารถส่งสูงและส่งไกลได้มากกว่าปั๊มเจ็ท  JET PUMP ปั๊มแบบหัวฉีดหลักการทำงานของปั๊มแบบหัวฉีด ( Jet Pump ) น้ำจากหัวฉีดซึ่งมีแรงดันสูงจะพุ่งผ่านช่องแคบของท่อที่มีลักษณะเป็นคอคอด (Venturi) และด้วยความเร็วที่พุ่งออกจากหัวฉีด ทำให้น้ำที่อยู่รอบๆไหลตามสายน้ำผ่านท่อคอคอดเข้าไปด้วย และไหลเข้าไปสู่ทางดูดของปั๊มอีกอัน เช่น ปั๊มแบบท่อนสูบ หรือปั๊มแบบแรงเหวี่ยงเป็นต้น ปริมาณน้ำที่ออกจากปั๊มส่วนหนึ่งจะถูกส่งย้อนกลับเข้าไปสู่หัวฉีดใหม่ อีกส่วนที่เหลือก็จะไหลออกไปเพื่อใช้งาน การทำงานปั๊มเจ็ท ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand   TikTok : Leopumpthailand

  • ปั๊ม Axial Flow: การทำงานเรียบง่ายและทรงพลัง

    Axial Flow Pump ปั๊มแบบ Axial Flow หรือ ปั๊มแกน เป็นปั๊มชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อให้ของไหลไหลผ่านในแนวแกนของเพลาหมุน ซึ่งต่างจากปั๊มแรงเหวี่ยงที่ของไหลจะถูกเหวี่ยงออกไปตามแนวรัศมี หลักการทำงานเบื้องต้น ใบพัดหมุน : ภายในปั๊มจะมีใบพัดหลายใบเรียงกันตามแนวแกน เมื่อใบพัดหมุนรอบตัวเอง มันจะผลักดันของไหลที่อยู่ตรงหน้าให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวแกน แรงขับเคลื่อน : แรงที่ทำให้ของไหลเคลื่อนที่ได้นั้นเกิดจากการที่ใบพัดแต่ละใบมีมุมที่ออกแบบมาให้ดันของไหลไปข้างหน้า เมื่อใบพัดหมุนรอบ ๆ ของไหลก็จะถูกผลักดันไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการไหลของของไหล การไหล : เนื่องจากใบพัดหลายใบทำงานร่วมกัน ของไหลจึงถูกเร่งให้มีความเร็วมากขึ้น และไหลผ่านท่อออกไปอย่างต่อเนื่อง ปั๊มแบบ Axial Flow อัตราการไหลสูง : ปั๊มชนิดนี้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการอัตราการไหลสูง เช่น ระบบระบายน้ำ ระบบทำความเย็น และระบบชลประทาน ความดันต่ำ : แม้ว่าจะให้อัตราการไหลสูง แต่ปั๊มแบบ Axial Flow มักให้ความดันไม่สูงมากนัก จึงเหมาะสำหรับใช้งานที่ต้องการส่งของไหลไปในระยะทางไม่ไกลมากนัก โครงสร้างเรียบง่าย : การออกแบบของปั๊มชนิดนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการผลิตและบำรุงรักษาต่ำ Axial Flow Structure การใช้งาน ปั๊มแบบ Axial Flow มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมน้ำ : ใช้สำหรับสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ สูบน้ำเสีย หรือใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย อุตสาหกรรมการเกษตร : ใช้สำหรับสูบน้ำเพื่อการชลประทาน อุตสาหกรรมกระดาษ : ใช้สำหรับสูบน้ำในกระบวนการผลิตกระดาษ อุตสาหกรรมพลังงาน : ใช้ในระบบทำความเย็นของโรงไฟฟ้า สรุป ปั๊มแบบ Axial Flow เป็นปั๊มที่ทำงานโดยอาศัยหลักการผลักดันของไหลให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวแกนของเพลาหมุน ด้วยข้อดีในเรื่องของอัตราการไหลสูงและโครงสร้างที่เรียบง่าย ทำให้ปั๊มชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม   Axial Flow Pump ข้อดี เพมาะกับงานที่ต้องการเคลื่อนย้ายของเหลวเป็นจำนวนมากในแรงดันต่ำ เช่น งานระบบระบายน้ำและชลประทาน ประสิทธิภาพสูงในการเคลื่อนย้ายของเหลวจำนวนมากในท่อขนาดใหญ่ การออกแบบเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้การบำรุงรักษาง่าย ต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษาต่ำกว่าปั๊มน้ำบางประเภท ทนทาน เหมาะสำหรับงานหนัก ให้การไหลราบรื่นและต่อเนื่อง ลดการสูญเสียพลังงาน   ข้อเสีย ไม่เหมาะกันการใช้งานแรงดันสูง ประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความหนืดสูง ขนาดใหญ่ จึงใช้พื้นที่ในการติดตั้งมาก ต้นทุนการผลิตและจัดการระบบใบพัดอาจสูงกว่าปั๊มอื่นในกลุ่มประเภทแรงดันต่ำ ใบพัดอาจสึกกร่อนเร็วกว่าถ้าใช้กับของเหลวที่มีสารกัดกร่อน การควบคุมทิศทางการไหลที่แม่นยำอาจยากเมื่อเทียบกับปั๊มน้ำแบบอื่น cr. รศ.ดร.เฉลิมเกียรติ วงศ์วนิชทวี ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand   TikTok : Leopumpthailand

  • การต่อ Ejector ของปั๊มรุ่น AJDM

    AJDM ปั๊มเจ็ทใช้ดูดน้ำในบ่อลึกแบบสองท่อ ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับหัว Elector ซึ่งจะมีเป็น Accessories แยกไปให้ด้วย ซึ่งการประกอบหัว Ejector ไม่ถูกต้องจะทำให้ปั๊มอาจดูดน้ำไม่ขึ้น ดังนั้นมาดูการต่อหัว Ejector ที่ถูกต้องกันครับ ดาวน์โหลดเอกสารการต่อ Ejector ของปั๊มรุ่น AJDM

  • ความแตกต่างระหว่างโหมด AUTO และ HYBRID ของอินเวิร์ตเตอร์ Leo DSKP

    ความแตกต่างระหว่างโหมด AUTO และ HYBRID อินเวิร์ตเตอร์ 1. การทำงานในโหมด Auto ของอินเวิร์ตเตอร์ DSKP : เครื่องจะเลือกใช้กระแสไฟฟ้าจากระบบ DC ก่อน และเมื่อกระแสไฟจาก DC ไม่สามารถจ่ายได้เพียงพอตามค่าที่ตั้งไว้ ระบบนั้นก็จะตัดการรับกระแสไฟจาก DC และมาใช้กระแสไฟจากระบบ AC แทนนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการใช้กำลังไฟฟ้าที่ 100 วัตต์ เครื่องนั้นจะเลือกใช้ไฟจากแหล่งที่มา DC ก่อน แต่เมื่อถึงเวลาที่กำลังไฟจาก DC ตกลงมา เช่น เหลือแค่ 80 วัตต์ ตัวอินเวิร์ตเตอร์ก็จะหยุดรับกระแสไฟจากแหล่ง DC และหันไปใช้กระแสไฟฟ้าจากแหล่งที่มา AC แทน 100 วัตต์ 2. การทำงานในโหมด Hybrid ของอินเวิร์ตเตอร์ DSKP : เครื่องจะเลือกใช้กระแสไฟจากแหล่งที่มา DC ก่อน เช่นเดียวกันกับโหมด Auto แต่เมื่อกระแสไฟจาก DC ไม่เพียงพอนั้น ระบบจะนำกระแสไฟจากแหล่งที่มา AC เข้ามาเติม เพื่อให้กำลังไฟไม่ตกนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการใช้กำลังไฟฟ้าที่ 100 วัตต์ เครื่องนั้นจะเลือกใช้ไฟจากแหล่งที่มา DC ก่อน แต่เมื่อถึงเวลาที่กำลังไฟจาก DC ตกลงมา เช่น เหลือแค่ 80 วัตต์ อินเวิร์ตเตอร์จะไม่ตัดการรับกระแสไฟจากแหล่ง DC แต่จะนำไฟจากแหล่ง AC เข้ามาเติม 20 วัตต์ เพื่อให้ครบ 100 วัตต์ ตามความต้องการของการใช้งานนั่นเอง

  • มอเตอร์บรัชเลส ( Brushless ) vs มอเตอร์แปรงถ่าน ( Brushed )

    มอเตอร์บรัชเลส ( Brushless ) vs มอเตอร์แปรงถ่าน ( Brushed ) มอเตอร์ไร้แปรงถ่าน / มอเตอร์บรัชเลส (Brushless) คือ มอเตอร์ไม่มีแปรงถ่าน ที่สัมผัสกับขั้วไฟฟ้าโรเตอร์และสเตเตอร์ที่ทำให้เกิดความเสียดสีของแปรงถ่านและขั้วไฟฟ้า แต่ไฟฟ้าจะถูกส่งไปยังขดลวดที่มอเตอร์ได้โดยตรง ให้เกิดขั้วแม่เหล็กตรงกลางขั้วแม่เหล็กเกิดการหมุน การหมุนแบบนี้ทำให้ไม่เกิดประกายไฟ หรือความร้อนสะสม ทำให้มอเตอร์ไร้แปรงถ่ายหรือมอเตอร์บัสเลส ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน และความเสียหาที่เกิดกับมอเตอร์มีน้อย แรงบิดที่ได้จากมอเตอร์ไร้แปรงถ่าน หรือมอเตอร์บัสเลส สูงกว่าแรงบิดของมอเตอร์แปรงถ่านในขนาดที่เท่ากัน ส่วนประกอบของ มอเตอร์ไร้แปรงถ่าย หรือมอเตอร์บัสเลส ด้านในจะแตกต่างจากมอเตอร์มีแปรงถ่านอย่างเห็นได้ชัด ส่วนประกอบด้านในประกอบด้วย 1. Stator (สเตเตอร์) ขดลวดทองแแดงบริเวณรอบๆ ทำหน้าที่นำกระแสไฟแและเปลี่ยนเป็นพลังงานแม่เหล็ก โดยนำกระแสไฟผ่านเข้าสู่ขดลวดทองแดงที่ผ่านอยู่บริเวณรอบๆ 2. Rotor (แกนหมุน) แกนหมุนตัวนี้เป็นแม่เหล็กทำหน้าที่ในหมุน โดยอาศัยพลังงานจาก Stator ในการทำให้หมุนและเกิดแรงบิด 3. Electronic Module (แผงควบคุม) ตัวบอร์ดแผงอิเล็กทรอนิกส์ตัวควบคุม control กระแสไฟเข้าสู่ตัวละลวดทองแดง Stator มอเตอร์แปรงถ่าน คือ มอเตอร์ที่มีแปรงถ่าน โดยแปรงถ่านเป็นตัวที่สัมผัสกับขั้วไฟฟ้าโรเตอร์และสเตเตอร์ เกิดการเสียดสีกันทำให้มอเตอร์หมุนการทำงาน ส่วนประกอบของ มอเตอร์แปรงถ่าน (Brushed) 1. Steel Ring จะสังเกตเห็นว่าด้านในจะมีแม่เหล็กอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง 2. ARMATURE (ทุ่น) หรือแกนหมุนซึ่งก็จะสังเกตได้ว่าจะมีขดลวดทองแดงพันอยู่บริเวณรอบๆ และมีหัวคอมมิวเตเตอร์ที่เป็นทองแดงเชื่อมเข้ากับลวดทองแดงทำหน้าที่นำกระแสไฟจากแปรงถ่านผ่านลวดทองแดงเกิดเป็นพลังงานขั้วแม่เหล็ก ผลักให้แกนหมุน และเกิดแรงบิด 3. CARBON BRUSH (แปรงถ่าน) ทำหน้าที่นำกระแสไฟเข้าสู่ตัว ARMATURE (ทุ่น) โดยหลักการแปรงถ่านเกิดารเสียดสีกับตัวหัวคอมมิวเตเตอร์ตลอดเวลาจึงทำให้มีประกายไฟและเกิดความร้อนสะสม หากใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงทำให้เกิดการไหม้หรือช็อตได้ " ท้ายนี้หวังว่าผู้อ่านจะรู้จักชนิดและการทำงานของมอเตอร์ได้ดียิ่งขึ้น และสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมระหว่าง มอเตอร์บรัชเลส ( Brushless ) vs มอเตอร์แปรงถ่าน ( Brushed ) จ้า " cr.tooltalking

  • ปั๊มน้ำระบบ Inverter ทำงานอย่างไร ?

    ปั๊มน้ำระบบ Inverter เป็นเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้สามารถกำหนดรอบการทำงานของมอเตอร์ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วปั๊มน้ำทั่วไปเวลาเริ่มทำงานจะทำงานโดยเต็มกำลัง เช่น ถ้ามีมอเตอร์ขนาด 400w และรอบมอเตอร์เต็มกำลังที่ 2950 รอบต่อนาที เมื่อปั๊มน้ำเริ่มทำงานปั๊มน้ำก็จะทำงานเต็มกำลังที่ 400w ตลอดการใช้งานปั๊ม แต่สำหรับระบบ Inverter นั้น จะทำการช่วยควบคุมมอเตอร์ให้รอบวิ่งตามการใช้น้ำ เช่น ถ้าใช้น้ำน้อยมอเตอร์จะวิ่งที่ 1750 รอบ ทำให้กินไฟน้อยลงเพราะใช้กำลังไฟแค่ 225 w ในการขับมอเตอร์ จึงสามารถทำให้ประหยัดพลังงานและค่าไฟได้มากขึ้นนั่นเอง

bottom of page