Search Results
47 results found with an empty search
- เลือกถังเก็บน้ำอย่างไรให้มีน้ำพอใช้?
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน ในการสำรองน้ำใช้ต่างๆ ต้องอาศัยการคำนวณที่สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำในแต่ละวัน รวมถึงพื้นที่ในการจัดวางด้วย ดังนั้นเราจะมาดูวิธีคำนวณขนาดถังเก็บน้ำ พร้อมปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนการเลือกซื้อเพื่อการใช้งานและให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา เช่น น้ำไม่พอใช้ หรือ หากถังเก็บน้ำใหญ่เกินไป ก็จะเปลืองทั้งงบประมาณและพื้นที่ติดตั้ง และหากมีน้ำขังอยู่ในถังในปริมาณมาก จะถือว่าเป็นน้ำเก่า ก็จะเสี่ยงต่อการเน่าเสียหรือมีการเจือปนของสิ่งสกปกได้ การคำนวณถังเก็บน้ำ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงการเลือกถังเก็บน้ำ จะเลือกถังเก็บน้ำให้มีน้ำพอใช้ได้อย่างไร ? 1. จำนวนคนที่ใช้น้ำ : โดยเฉลี่ยแล้ว คนหนึ่งคนจะใช้น้ำประมาณ 150-200 ลิตรต่อวัน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ เช่น อาบน้ำ ซักผ้า ล้างจาน 2. ระยะเวลาที่ต้องการสำรองน้ำ : ควรคิดคำนวณเผื่อไว้ 1-3 วัน สำหรับการไม่มีน้ำใช้ เช่น ต้องการสำรองน้ำ 1 วัน ใช้น้ำ 1 คนเฉลี่ย 150 ลิตร × จำนวนคน หรือ สำรอง 3 วันใช้น้ำ 1 คน เฉลี่ย 150 ลิตร × จำนวนคน × 3 วัน โดยประมาณ 3. การใช้น้ำอื่นๆ เช่น การรดน้ำต้นไม้เฉลี่ยจะใช้น้ำ 50-100 ลิตร/วัน หรือ ร้านอาหารจะใช้น้ำเฉลี่ย 500-1,000 ลิตร/วัน สูตรคำนวณขนาดถังเก็บน้ำ สูตรคำนวณที่เหมาะสม คือ ปริมาณการใช้น้ำต่อวัน × จำนวนวันที่ต้องการสำรอง = ขนาดถังเก็บน้ำ (ลิตร) หากเป็นบ้านพักอาศัยทั่วไป จำนวนผู้อยู่อาศัย: 3 คน , การใช้น้ำเฉลี่ยต่อคน: 150 ลิตร/วัน และ ต้องการสำรองน้ำ: 2 วัน วิธีคำนวณดังนี้ : 150 ลิตร × 3 คน × 2 วัน = 900 ลิตรขนาดถังเก็บน้ำที่เหมาะสมจึงควรเป็น 1,000 – 1,200 ลิตร ถ้าหากเป็นร้านอาหารขนาดกลาง จะมีการใช้น้ำเฉลี่ยต่อวันประมาณ 1,000 ลิตร และ ต้องการสำรองน้ำ: 2 วัน จะคำนวณดังนี้ : 1,000 ลิตร × 2 วัน = 2,000 ลิตร ดังนั้นควรเลือกถังเก็บน้ำที่มีความจุ 2,000 ลิตร บ้าน ร้านอาหาร ปัจจัยอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน ตามหัวข้อเลือกถังเก็บน้ำอย่างไรให้มีน้ำพอใช้ วัสดุของถังเก็บน้ำ ในการเลือกถังเก็บน้ำต้องเข้าใจก่อนว่าวัสดุที่เลือกมีอะไรบ้าง เช่น PE (Polyethylene) จะมีน้ำหนักเบา ทนต่อแสงแดด ไม่เป็นสนิม หรือ สแตนเลสจะมีความทนทาน แต่จะต้องเลือกใช้เกรดที่ดี รวมถึงแบบคอนกรีตซึ่งมักจะนิยมใช้สำหรับอาคารขนาดใหญ่จะติดตั้งยาก มาตรฐานถังเก็บน้ำ ควรเลือกถังเก็บน้ำที่มีมาตรฐาน มอก. อีกทั้งควรติดตั้งในที่ร่มหรืออยู่ภายใต้หลังคาปกคลุม รวมถึงควรทำความสะอาดถังเก็บน้ำปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น พื้นที่ติดตั้ง พื้นที่ติดตั้งมีเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าจะใช้ถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ รวมถึงต้องเผื่อพื้นที่สำหรับท่อและ อุปกรณ์ เสริมอื่นๆ ไว้ด้วย ระบบปั๊มน้ำ ปั๊มน้ำเพื่อช่วยเสริมแรงดัน เพื่อให้การใช้งานได้ราบลื่นน้ำไม่ขาดก็สำคัญด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อแหล่งเก็บน้ำอยู่ต่ำกว่าตัวปั๊มน้ำ ต้องคำนวณเลือกปั๊มน้ำให้ดีด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่มีแรงดันน้ำส่งมาเหมือนกับการที่แหล่งเก็บน้ำตั้งอยู่สูงกว่าระดับตัวปั๊มน้ำ การเลือกปั๊มน้ำและแท็งค์น้ำให้เหมาะสม เพื่อการประหยัดค่าใช้จ่ายไปกว่าครึ่ง >> คลิก << ระบบและการติดตั้งปั๊มน้ำอาคารสูง >> คลิก << เกร็ดความรู้เบื้องต้น การต่อปั๊มน้ำแบบบายพาส / การเลือกกำลังปั๊มและการตรวจเช็ค / วาล์ว >> คลิก << เคล็ดลับการติดตั้งปั๊มหอยโข่งให้น้ำแรง ขจัดปัญหาการใช้งาน >> คลิก << วิธีการอ่านกราฟปั๊มน้ำแบบง่ายๆ เป็นการอ่านแบบคร่าวๆ สามารถนำไปใช้อ่านได้ทั่วไป >> คลิก << ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- Vertical Turbine Pump ปั๊มน้ำเทอร์ไบน์แนวตั้ง
Vertical Turbine Pump หรือ ปั๊มน้ำเทอร์ไบน์แนวตั้ง มีทั้งแบบชนิดใบพัดชั้นเดียวหรือหลายชั้น ด้วยใบพัดทางการไหลแบบผสมหรือทิศทางการไหลตามแกน ซึ่งมีอัตราการไหลของน้ำและแรงส่งสูง ส่วนหลักๆของตัวปั๊มจะประกอบด้วย 1. ชุดใบพัด (Bowl Assembly) 2. ชุดคอลั่ม (Column Pipe) 3. ชุดหัวปั้ม (Discharge Head) Vertical Turbine Pump หรือ ปั๊มน้ำเทอร์ไบน์แนวตั้ง สามารถสูบของเหลวจากบ่อน้ำลึกหรือหลุม ใช้เพื่อการดับเพลิงไปจนถึงน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม , การจ่ายน้ำไปยังหอหล่อเย็นในโรงไฟฟ้า , การสูบน้ำเพื่อการชลประทาน , และการเพิ่มแรงดันน้ำในระบบสูบน้ำของเทศบาล เหมาะสำหรับงานสูบน้ำแทบทุกรูปแบบ ตัวปั๊ม - หัวปั๊มเหล็กหล่อคุณภาพสูง ทนต่อการกัดกร่อน ข้อดีของ Vertical Turbine Pump ( ปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้ง ) 1. ใช้สำหรับการสูบของเหลวจากบ่อหรืออ่างเก็บน้ำที่ลึก เหมาะสมสำหรับการใช้งานในการจัดหาน้ำประปาของเมือง การชลประทานทางการเกษตร และกระบวนการอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการการสูบจากบ่อที่ลึก 2. การออกแบบปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้งมีข้อได้เปรียบ เพราะสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการด้านประสิทธิภาพ โดยมีวัสดุหลายประเภทให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กหล่อ , สเตนเลส , หรือทองเหลือง เพื่อสามารถจัดการกับของเหลวหลายประเภท เช่น น้ำ , น้ำมัน , และสารเคมี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น ใบพัดที่ปรับได้ , โบลว์ดิวฟิวเซอร์ , และตลับลูกปืนที่รองรับแรง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงาน วิธีการทำงานของ ปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้ง 1. ปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้งได้รับการออกแบบให้จมอยู่ในของเหลวที่จะสูบ เช่น น้ำ , น้ำมัน , หรือของเหลวอื่นๆ มอเตอร์หรือไดรเวอร์ที่ขับเคลื่อนปั๊มจะติดตั้งอยู่เหนือระดับพื้นดิน ขณะที่ชุดปั๊มประกอบไปด้วยใบพัดและเพลา จะจมอยู่ใต้ของเหลว 2. เพลาเชื่อมต่อกับมอเตอร์หรือไดรเวอร์ที่อยู่ด้านบน เพลานี้จะหมุนและมีใบพัดหลายตัวที่ติดตั้งที่แกนเพลา ใบพัดใบมีดโค้ง เมื่อเพลาหมุน ใบพัดจะหมุนไปด้วย สร้างพลังงานจลน์ภายในของเหลวที่ล้อมรอบ 3. ส่วนล่างของชุดปั๊มจะมีช่องที่เปิดให้ของเหลวเข้าสู่ปั๊ม การหมุนของใบพัดทำให้เกิดแรงดันต่ำใกล้กับปลายใบพัด ทำให้ของเหลวรอบๆ ถูกดูดเข้าไปในปั๊มผ่านช่องเหล่านี้ 4. เมื่อของเหลวเข้าสู่ใบพัด ความเร็วจะเพิ่มขึ้นจากการหมุนของใบพัด พลังงานกลจากมอเตอร์หรือไดรเวอร์จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฮดรอลิก ซึ่งทำให้ความดันในของเหลวเพิ่มขึ้น 5. ปั๊มทอร์ไบน์แนวตั้งมีหลายส่วน ประกอบด้วยชุดของโรเตอร์ที่เรียงต่อกัน ซึ่งแต่ละตัวจะช่วยเพิ่มความดันในของเหลว และเมื่อของเหลวส่งผ่านชุดโรเตอร์เหล่านี้ ความดันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนได้ความดันที่สูงขึ้นที่ปลายทางของปั๊ม 6. หลังจากที่ของเหลวผ่านทุกส่วนที่กล่าวมาแล้วนั้น ของเหลวจะถูกส่งไปยังถังเก็บ , ระบบกระจาย , หรืออุปกรณ์สำหรับกระบวนการอื่นๆ ขึ้นอยู่กับชนิดการใช้งาน 7. ปั๊มทอร์ไบน์แนวตั้งเป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับเรื่องประสิทธิภาพและความเสถียร สามารถใช้ได้หลากหลาย เช่น การสูบน้ำจากบ่อเชิงลึก , ระบบน้ำประปา , การชลประทาน , การผลิตน้ำมันและก๊าซ , รวมถึงกระบวนการอุตสาหกรรมอื่นๆ ข้อเสียของ Vertical Turbine Pump ( ปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้ง ) ความติดตั้งค่อนข้างยากและซับซ้อน การติดตั้งปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้ง ต้องวางแผนก่อนและต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการติดตั้งในแนวตั้งจะต้องให้ความสำคัญกับการจัดแนว , การสร้างโครงสร้าง , และการจัดการซีล ทุกอย่างต้องแม่นยำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการสั่นสะเทือน หรือติดตั้งตำแหน่งไม่ถูกต้อง ส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของปั๊มน้ำ ข้อจำกัดในการสูบน้ำ ใบพัดที่จมอยู่ในน้ำของปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้งจำเป็นต้องมีหัวดูดที่เป็นบวกเพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง ในบางกรณี ข้อจำกัดในการมีหัวดูด (หรือ NPSHa) อาจทำให้การทำงานของปั๊มถูกจำกัดในบางระดับความลึก การกัดกร่อน เนื่องจากปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้งต้องสัมผัสกับของเหลวที่มีความกัดกร่อนสูง การติดตั้งปั๊มน้ำอาจทำให้เกิดการกัดกร่อนในส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้การออกแบบที่ซับซ้อนและวัสดุป้องกันการกัดกร่อน การบำรุงรักษา การบำรุงรักษาส่วนประกอบที่จมอยู่ใต้น้ำของปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้งค่อนข้างลำบาก จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรือกระบวนการพิเศษในการบำรุงรักษา โดยเฉพาะในกรณีของการติดตั้งในบ่อน้ำลึก ถึงแม้ว่าปั๊มประเภทนี้จะต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่าปั๊มประเภทอื่นๆ และทำยาก แต่ก็ยังต้องทำการบำรุงรักษาอยู่ดี ต้นทุนสูง ปั๊มเทอร์ไบน์แนวตั้งอาจมีต้นทุนที่สูงกว่าระบบปั๊มประเภทอื่นๆ ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ วัสดุ และโครงสร้าง รวมถึงข้อกำหนดในการติดตั้ง เช่น ความลึก อัตราการไหล และวัสดุที่ใช้ ซึ่งส่งผลต่อราคาของอุปกรณ์และการบำรุงรักษา ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- การเลือกปั๊มน้ำและแท็งค์น้ำให้เหมาะสม เพื่อการประหยัดค่าใช้จ่ายไปกว่าครึ่ง
การเลือกปั๊มน้ำและแท็งค์น้ำให้เหมาะสม เพื่อการประหยัดค่าใช้จ่ายไปกว่าครึ่ง สำหรับการเลือกปั๊มน้ำและแท็งค์น้ำให้เหมาะสมนั้น ผู้ใช้หรือเจ้าของบ้านหลายคนอาจยังสับสนว่าเราจะเลือกใช้ปั๊มน้ำขนาดไหนดี แต่ทั้งนี้ก็ได้มีการกำหนดข้อมูล แนวทางการเลือกปั๊มน้ำแบบคร่าวๆเอาไว้อยู่แล้ว เช่น บ้าน 1 ชั้น ควรใช้ปั๊มน้ำประมาณ 150 w , บ้าน 2 ชั้น 250 w , และ บ้าน 3-4 ชั้น 400 w เป็นต้น ซึ่งข้อมูลที่ผู้ผลิตแต่ละรายนำมาเป็นแนวทางนั้น ก็มาจากการประมาณอัตราการใช้น้ำของอาคารแต่ละประเภท ประกอบกับระยะทางการใช้งานนั่นเอง ปัจจุบันตามท้องตลาดทั่วไปเรามักจะเอาขาดของมอเตอร์หรือกำลังวัตต์เป็นที่ตั้ง แต่ขนาดมอเตอร์นั้นไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพของการไหลของน้ำอย่างที่เข้าใจกัน ดังนั้นผู้ใช้หรือเจ้าของบ้านควรคำนวณหาขนาดของปั๊มน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งานเบื้องต้นเสียก่อน ไม่ใช่คำนึงถึงแต่ขนาดมอเตอร์หรือกำลังวัตต์ ดังนี้ 1. คำนึงถึงจำนวนจุดใช้น้ำ และปริมาณน้ำที่ต้องการใช้พร้อมกันภายในบ้านทั้งหมด ว่ามีปริมาณกี่ลิตร/นาที โดยทั้งนี้เราต้องคำนึงถึงอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ด้วย เช่น ฝักบัว , ก๊อกสนาม , และอื่นๆ กะประมาณคร่าวๆเอาได้ 2. จำนวนคนที่พักอาศัย จะได้ทราบถึงปริมาณน้ำที่ใช้ จึงจะเลือกปั๊มน้ำที่จะใช้ได้อย่างเหมาะสม 3. ระยะทางและความสูงในการส่งน้ำ เพื่อที่จะได้นำไปเปรียบเทียบกับสเป็คอัตราการจ่ายน้ำของปั๊มน้ำนั้นๆในการเลือกซื้อ คราวนี้เราลองมาดูตัวอย่างของการเลือกซื้อปั๊มน้ำกันบ้าง ถ้าเรามีบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ความสูงโดยประมาณของจุดจ่ายน้ำจะมีระยะประมาณ 7 เมตร และมี ก๊อกน้ำภายในบ้านทั้งหมด 6 จุด และประมาณว่าจะใช้ก๊อกน้ำพร้อมกันทั้งหมด 3 จุด เราก็จะได้ดังนี้ 1. เรื่องของระยะส่งของปั๊มน้ำ ในกรณีนี้ความสูงถึงจุดที่ต้องการจ่ายน้ำประมาณ 7 เมตร เราควรเผื่อค่าแรงเสียดทานต่างๆ เช่น การใช้ท่อลด ข้อลด หรือข้องอต่างๆ ซึ่งจะทำให้กำลังการส่งตกลงไป ดังนั้นเราจึงควรเผื่อไว้ 30% ดังนั้นเราควรเลือกใช้ปั๊มน้ำที่มีระยะส่งไม่น้อยกว่า 9 เมตร นั่นเอง 2. ปริมาณน้ำที่จ่ายได้ (ลิตร/นาที) เราควรพิจารณาถึงการใช้น้ำพร้อมกันทั้งบ้าน และในที่นี้เรามีโอกาสใช้น้ำพร้อมกัน 3 จุด ซึ่งตามปกติก๊อกน้ำมีอัตราการจ่ายน้ำประมาณ 9 ลิตร/นาที ( โดยการคำนวณปริมาณน้ำในที่นี้เป็นการประมาณการเท่านั้นเนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้นั้นต่างกัน ทั้งนี้ถ้าต้องการความแม่นยำถูกต้องเราสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จากฉลากที่ติดมากับตัวอุปกรณ์นั้นๆ ) ดังนั้นจากการประมาณการปริมาณน้ำขั้นต่ำที่บ้านหลังนี้ใช้พร้อมกัน คือ 27 ลิตร/นาที ปั๊มน้ำอัตโนมัติ ระบบ Inverter ประหยัดพลังงาน ปั๊ม Inverter ปั๊มน้ำอัตโนมัติ ระบบ Inverter ประหยัดพลังงาน คือ รอบมอเตอร์จะหมุนตามปริมาณน้ำที่ใช้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือ เมื่อเราหรี่ก๊อกหรือเปิดใช้น้ำเบาๆ มอเตอร์ก็จะหมุนเบาเช่นกัน ( ใช้รอบหมุนน้อย )ทันทีที่เปิดก๊อกแรงมอเตอร์ก็จะทำงานเต็มกำลัง ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ 100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน แต่ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ อาจจะใช้ปั๊มอินเวอร์เตอร์ ขนาด 450 วัตต์ และ ที่จะควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า มีระบบอิเล็กทรอนิกคำนวณการใช้น้ำ เช่น ปั๊ม 450 วัตต์ ถ้าเราเปิดใช้น้ำแค่จุดเดียวจะกินไฟแค่ 120 วัตต์ เปิดน้ำพร้อมกัน 4 จุด จะกินไฟ 450 วัตต์ เปรียบเทียบกับปั๊มทั่วไปขนาด 450 วัตต์ เปิดน้ำจุดเดียวก็กินไฟ 450 วัตต์ทันที ดังนั้นระบบอินเวอร์เตอร์จึงช่วยเราประหยัดค่าไฟนั่นเอง รวมถึงปั๊มอัตโนมัติจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ปั๊มมีถังแรงดันอากาศ แบบที่ 2 ปั๊มแรงดันคงที่ สำหรับปั๊มมีถังแรงดันอากาศ ข้อดีคืออายุการใช้งานนานกว่า แต่ข้อเสีย คือ อาจจะต้องมีการเติมลม หรือเมื่อเป็นสนิมภายในเราอาจจะต้องเปลี่ยนถังใหม่ทั้งถัง (ราคาไม่สูง) ส่วนปั๊มแรงดันคงที่ ข้อดีคือถ้าเราเปิดน้ำ 4 จุดพร้อมกัน แรงดันน้ำจะไหลเท่ากันทั้ง 4 จุด ไม่ว่าก๊อกน้ำจะอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลัง ถ้าเทียบทั้งสองแบบที่วัตต์เท่ากัน ปั๊มแรงดันอากาศจะจ่ายน้ำได้แรงกว่า แล้วแท็งน้ำล่ะ จำเป็นแค่ไหน ?? เมื่อเราเลือกปั๊มน้ำที่ต้องการได้แล้ว จะต้องซื้อแท้งก์น้ำเพิ่มมั้ย? เลือกแท้งก์น้ำขนาดเท่าไหร่? วัสดุแบบไหน? ให้เรามาพิจารณาตามนี้ครับ 1. ความสามารถการเก็บสำรองน้ำประปาไว้ใช้งานในบ้าน กรณีที่น้ำไม่ไหลหรือมีเหตุฉุกเฉิน เช่น มีการปิดน้ำเพื่อเดินท่อประปา(ท่อเมนของการประปาฯ) หรือซ่อมท่อประปา เกิดอุบัติเหตุท่อส่งประปาแตกเสียหายทำให้ไม่สามารถส่งน้ำประปามาได้ หรือแม้กระทั่งไฟดับแล้วปั๊มน้ำไม่ทำงาน เราก็ยังคงมีน้ำสำรองจากแท็งก์น้ำไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน 2. ช่วยพักน้ำ ช่วยให้มีการตกตะกอนของสิ่งแปลกปลอมที่อาจหลุดรอดเข้ามากับน้ำ (สิ่งแปลกปลอมอาจหลุดรอดเข้ามาในระหว่างทางที่มีการตัดต่อท่อประปาหรือมีการซ่อมท่อประปา ก่อนที่น้ำประปาจะมาถึงบ้าน) 3. ช่วยประหยัดค่าไฟได้ เนื่องจากเมื่อน้ำเต็มแท็งก์ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดปั๊มน้ำ ทำให้ปั๊มไม่ต้องทำงานตลอดเวลาที่ใช้น้ำ แท็งก์น้ำมีแบบไหนบ้าง? หลักๆเราแบ่งแท็งค์น้ำออกเป็น 2 แบบ ซึ่งก็คือ แท็งค์น้ำ ที่อยู่บนดินและแท็งค์น้ำที่อยู่ใต้ดิน • สำหรับแท็งค์น้ำบนดินนั้นจะเหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่พอสมควร โดยถังเก็บน้ำที่ได้รับความนิยมสำหรับการติดตั้งลักษณะนี้คือ แท็งก์น้ำสเตนเลสและแท็งก์น้ำพลาสติกชนิดติดตั้งบนดิน ข้อดีคือดูแลรักษาง่ายและ เคลื่อนย้ายได้ง่าย • สำหรับแท็งค์น้ำที่อยู่ใต้ดิน เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ต้องมีโครงสร้างรับน้ำหนักที่แข็งแรง เพื่อป้องกันการทรุดตัวที่อาจจะเกิดขึ้น โดยแท็งก์น้ำที่เหมาะสำหรับการติดตั้งลักษณะนี้ คือ แท็งก์น้ำคอนกรีตและแท็งก์น้ำพลาสติกชนิดติดตั้งใต้ดิน แล้วต้องใช้แท็งค์น้ำขนาดเท่าไหร่ ? โดยเฉลี่ยแล้ว หนึ่งคนจะใช้น้ำอยู่ที่ประมาณ 200 ลิตร/วัน/คน ซึ่งหมายความว่าแท็งค์น้ำก็ควรคิดจากปริมาณของสมาชิกในบ้านคูณด้วยปริมาณการใช้น้ำต่อวัน (เมื่อได้ผลลัพธ์แล้วควรคูณด้วย 2 อีกที เผื่อสำหรับน้ำไม่ไหลมากเกิน 1 วัน) *** 200 ลิตร (ปริมาณน้ำ /คน /วัน) x จำนวนคนในบ้าน x จำนวนวันที่สำรองน้ำ คำนวณปริมาณน้ำเพื่อสำรอง " การเลือกปั๊มน้ำและแท็งค์น้ำให้เหมาะสมและพื้นฐานการคำนวณปริมาณการใช้น้ำที่ได้กล่าวมาข้างต้นสามารถนำมาใช้ได้เลยสำหรับผู้ที่กำลังมองหาหรือติดตั้งปั๊มน้ำและแท็งค์น้ำใหม่ครับ " เกร็ดความรุ้เบื้องต้น การต่อปั๊มน้ำแบบบายพาส / การเลือกกำลังปั๊มและการตรวจเช็ค / วาล์ว คลิก วิธีแก้ปัญหาปั๊มน้ำเบื้องต้นที่พบกันบ่อย คลิก ระบบและการติดตั้งปั๊มน้ำอาคารสูง คลิก วิธีการอ่านกราฟปั๊มน้ำแบบง่ายๆ คลิก ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand ตัวแทนจำหน่าย : https://www.leo.co.th/dealer
- วิธีการดูแลทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์
วิธีการดูแลทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์ แผงโซล่าเซลล์จะทำงานได้ไม่เต็มที่ในกรณีที่เราใช้งานไปซักระยะหนึ่งแล้วนั้น จะมีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่บนแผงโซล่าเซลล์ เช่น ฝุ่น ใบไม้ หรือมูลนกเกาะที่แผงโซล่าเซลล์ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการไหลเวียนไฟฟ้า ทำให้แผงโซล่าเซลล์เกิดความเสียหายได้ อาจจะถึงขั้นทำให้แผงโซล่าเซลล์เกิดการไหม้ได้เลยทีเดียว เราควรจึงต้องมีดารทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์ ถึงแม้กระนั้นการทำความสะอาดโซล่าเซลล์แบบผิดวิธีอาจไปลดทอนประสิทธิภาพของแผงโซล่าเซลล์ได้เช่นกัน ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าวิธีการดูแลทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์ ทำอย่างไรกันบ้าง ? การล้างแผงโซล่าเซลล์ ทำอย่างไรบ้าง ? 1. ฉีดน้ำล้างแผงโซล่าเซลล์ให้ทั่ว ใช้สายยางฉีดน้ำไปบนแผงโซล่าเซลล์ให้ทั่ว เพื่อทำความสะอาดไล่ฝุ่นออกไปก่อน 2. ใช้วัสดุที่ปลอดภัยต่อการทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์ จะต้องเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความอ่อนนุ่มไม่ทำลายพื้นผิวโซล่าเซลล์ เช่น ฟองน้ำ ผ้า และไม่ใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมที่อาจกัดกร่อนพื้นผิวของแผงโซล่าเซลล์ เพราะจะทำให้แผงโซล่าเซลล์ได้รับความเสียหาย ให้ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำผสมน้ำยาล้างจานเพียงเล็กน้อย เพื่อทำความสะอาดคราบมันหรือคราบที่ฝังแน่นอยู่บนแผงโซล่าเซลล์ให้สะอาดหมดจด เพราะหากใช้อุปกรณ์ที่แข็งกับพื้นผิวของแผง หรือผงซักฝอกในการทำความสะอาด อาจจะทำให้แผงเกิดความเสียหาย แตกร้าว มีรอยขีดข่วน จนทำให้แผงโซล่าเซลล์ไม่มีประสิทธิภาพในการรับแสงเพื่อผลิตพลังงสานไฟฟ้าได้ 3. ตรวจเช็คความเรียบร้อย ตรวจเช็กอุปกรณ์เชื่อมต่อแผงโซลาร์เซลล์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับแผงโซล่าเซลล์อย่างเครื่อง Inverter หรือตู้คอนโทรลไฟ จะต้องตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์ดังกล่าวเสมอ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ไม่ชำรุด ช่วงเวลาล้างแผงโซล่าเซลล์ ช่วงเวลาที่เราควรทำการล้างแผงโซล่าเซลล์ โดยส่วนใหญ่แล้วเราควรล้างช่วงที่มีแสงแดดต่ำ ในตอนเช้าตรู่ หรือตอนเย็น 1. ในช่วงเวลาเช้า 07:00 น.-09:00 น. 2. ในช่วงเวลาเย็น 16:00 น.-18:00 น. ทำไมเราควรล้างแผงโซล่าเซลล์ตามช่วงเวลานี้ ? เพราะว่าการที่แผงโดนน้ำในขณะที่มีความร้อนอยู่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณผิวหน้ากระจกแผงได้ ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นเงาบดบังแสง และส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้านอกจากนี้ยังป้องกันอันตรายต่อผู้ล้างแผงด้วย เพราะในช่วงเช้า หรือเย็นนั้นระบบโซล่าเซลล์จะมีกระแสไฟฟ้าต่ำซึ่งหากล้างแผงในตอนกลางวันแล้วมีสายไฟใดเกิดขาดขึ้นมาอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เราควรล้างแผงโซล่าเซลล์บ่อยแค่ไหน ? โดยส่วนมากเราจะทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์กัน ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วยว่าโดยรอบสถานที่มีฝุ่นเยอะแค่ไหน เช่น ถ้าบ้านพักอาศัยนั้น อาจจะไม่มีปริมาณฝุ่นหนาแน่นเท่าไหร่นัก การล้างแผงโซล่าเซลล์ 2-3 ครั้งต่อปีนั้นก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าเป็นโรงงาน เช่น โรงปูน ซึ่งจะมีฝุ่นละอองมาก ก็อาจจะต้องล้างแผงถี่ขึ้นเป็น 2 เดือนครั้ง หรือเดือนละครั้ง ฝนช่วยทำความสะอาดแผงโซล่าเซลล์ไหม ? หลายคนอาจคิดว่าน้ำฝนจะช่วยทำความสะอาดหรือช่วยล้างแผงโซล่าเซลล์ให้ แต่ที่จริงแล้วหลังฝนหยุดตกแล้วมักจะทิ้งคราบสกปรกไว้ที่แผงเสมอ เหมือนเวลาที่รถเปียกแล้วมาฝุ่นมาจับ แผงโซล่าเซลล์ก็เช่นกัน เราจึงควรล้างแผงโซล่าเซลล์อยู่ดี อาจจะรอหน้าฝนผ่านไปแล้วค่อยทำการล้างแผงก็ได้ ข้อดีของการล้างแผงโซล่าเซลล์ 1. ช่วยให้แผงโซล่าเซลล์ผลิตพลังงานได้ดีขึ้น สูงสุด 20% 2. ช่วยให้แผงโซล่าเซลล์ใช้งานได้ยาวนานตามอายุของแผงที่ระบุไว้ 3. เป็นการตรวจสอบความเสียหายของแผงโซล่าเซลล์ และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ไปในตัว การล้างแผงโซล่าเซลล์ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการล้างแผงโซล่าเซลล์ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ปฏิบัติงาน เนื่องจากถ้าหลังคาของคุณมีความชันหรือยากต่อการทรงตัว อาจจะจะเกิดอันตรายได้ ชนิดแผงโซล่าเซลล์ เลือกแบบไหนดี? โมโน / โพลี /หรือ อะมอร์ฟัส >> คลิก สอนการคำนวณไฟฟ้าและจำนวนแผงโซล่าเซลล์ ( Solar Cell Calculation ) >> คลิก การออกแบบระบบโซล่าเซลล์เพื่อใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน >> คลิก ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- ปั๊มสระว่ายน้ำเป็นอย่างไร คำนวณอย่างไร ?
ปั๊มสระว่ายน้ำและวิธีการคำนวณ ปั๊มสระว่ายน้ำ เป็นหัวใจสำคัญสำหรับทุกๆสระว่ายน้ำ โดยการทำงานหลัก ๆ ของปั๊มสระว่ายน้ำ คือ ปั๊มจะดึงน้ำจากสระน้ำผ่านตัวสกิมเมอร์และท่อระบายหลัก ดันน้ำผ่านตัว กรองด้านขาออก และส่งกลับเข้าสระผ่านทางท่อส่ง โดยตัวกรองตัวดักเศษผมและเศษผ้า มอเตอร์ไฟฟ้า สามารถระบายความร้อนด้วยอากาศและไม่ควรให้น้ำกระเด็นเข้าสู่มอเตอร์เพราะจะทำให้เกิดความเสีนหายได้ ในการเลือก ปั๊มสระว่ายน้ำ ให้เหมาะสมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ระบบการกรองน้ำในสระว่ายน้ำนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้น้ำในสระสะอาดเท่านั้น แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ เช่น ค่าไฟฟ้า และค่าซ่อมบำรุง ด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่า ปั๊มสระว่ายน้ำ ที่เลือกมีขนาดไม่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆได้ เช่น น้ำไม่สะอาด , มีการสะสมของสิ่งสกปรก , ค่าไฟฟ้าแพง , หรือการสึกหรอของอุปกรณ์ที่เร็วขึ้น เพราะฉนั้นการเลือกปั๊มสระว่ายน้ำ ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ปั๊มสระว่ายน้ำเป็นอย่างไร ? คำนวณอย่างไร ? … ปริมาณน้ำในสระว่ายน้ำ และสำหรับสระน้ำที่มีน้ำตก น้ำพุ หรือระบบพ่นน้ำ เราอาจจะต้องบวกเพิ่มปริมาณน้ำในระบบเพิ่มเติมประมาณ 5-10% ของปริมาตรน้ำทั้งหมด เพื่อให้ปั๊มสระว่ายน้ำสามารถรองรับการไหลเวียนของน้ำในระบบเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตรต่าง ๆ ตามรูปร่างของสระว่ายน้ำดังนี้ สระว่ายน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า : กว้าง x ยาว x ความลึกของสระ x 7.5 = ปริมาตร (แกลลอน) สระว่ายน้ำรูปทรงกลม : เส้นผ่านศูนย์กลางของสระ ÷ 2 เพื่อให้ได้รัศมีของสระ หลังจากนั้นให้ใช้สูตร 3.14 × รัศมีที่หาร 2 แล้ว × ลึก × 7.5 = ปริมาตร (แกลลอน) สระว่ายน้ำสี่เหลี่ยม สระว่ายน้ำวงกลม การคำนวณอัตราการไหลของ ปั๊มสระว่ายน้ำ (Flow Rate) อัตราการไหลของ ปั๊มสระว่ายน้ำ (Flow Rate) หมายถึงปริมาณน้ำที่ ปั๊มสระว่ายน้ำ สามารถสูบได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปเราควรให้ปั๊มสระว่ายน้ำสามารถหมุนน้ำในสระว่ายน้ำทั้งหมดได้ใน 8 ชั่วโมง เพื่อรักษาความสะอาดและสมดุลของน้ำในระบบ เราจะสามารถคำนวณอัตราการไหลที่ต้องการได้จากสูตร: ตัวอย่าง : สระว่ายน้ำ ที่มีปริมาตร 75,000 ลิตร และต้องการหมุนเวียนน้ำภายใน 8 ชั่วโมง ในกรณีที่ต้องการการกรองน้ำที่รวดเร็วขึ้น เช่น สำหรับสระที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก อาจพิจารณาใช้เวลาในการหมุนเวียนที่สั้นลง เช่น 6 ชั่วโมง เพื่อให้การกรองน้ำมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการเลือกปั๊มสระว่ายน้ำที่มีขนาดใหญ่เกินไปอาจทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นการเลือกปั๊มสระว่ายน้ำที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ดีมากกว่าคุณควรคำนึงถึงการไหลเวียนเพิ่มเติมที่อาจจำเป็นสำหรับอุปกรณ์เสริม เช่น ระบบน้ำตกหรือพ่นน้ำ ซึ่งต้องการอัตราการไหลเพิ่มเติมประมาณ 10-15% จากที่คำนวณไว้ เพื่อให้ระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด อัตราการไหล คือ ปริมาณน้ำที่ปั๊มสระว่ายน้ำสามารถหมุนเวียนในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ได้ทั้งหมด เช่น ระบบควรหมุนเวียนน้ำทั้งหมดในสระได้ภายใน 8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปนั่นเอง สูตรการคำนวณ อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง) = ปริมาตรน้ำในสระว่ายน้ำ (ลิตร) ÷ ระยะเวลาการหมุนเวียน (ชั่วโมง) อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง) = ปริมาตรน้ำในสระ (ลิตร) \div ระยะเวลาการหมุนเวียน (ชั่วโมง) อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง) = ปริมาตรน้ำในสระว่ายน้ำ (ลิตร) ÷ ระยะเวลาการหมุนเวียน (ชั่วโมง) ขั้นตอนการคำนวณ Q = อัตราการไหล (ลิตร/ชั่วโมง หรือ ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง)V = ปริมาตรของสระว่ายน้ำ (ลิตร หรือ ลูกบาศก์เมตร)T = เวลาในการหมุนเวียนน้ำ 1 รอบ (ชั่วโมง) คำนวณปริมาตรสระว่ายน้ำ (V) V = ความยาว×ความกว้าง×ความลึกเฉลี่ย หากปริมาตรคิดเป็นลูกบาศก์เมตร ให้คูณด้วย 1,000 เพื่อแปลงเป็นลิตร (1 ลูกบาศก์เมตร = 1,000 ลิตร) กำหนด เวลาในการหมุนเวียนน้ำ (T) เวลาในการหมุนเวียนน้ำของสระว่ายน้ำโดยทั่วไป : สระว่ายน้ำทั่วไป 6-8 ชั่วโมง สระสำหรับเด็ก 2-4 ชั่วโมง สระในโรงแรม/สาธารณะ 4-6 ชั่วโมง คำนวณ Flow Rate (Q) นำค่าปริมาตรของสระ (V) หารด้วย เวลาในการหมุนเวียนน้ำ (T) การพิจารณาปัจจัยอื่นๆ Criteria นอกจากอัตราการไหลแล้ว ก้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อให้ระบบสระว่ายน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แรงเสียดทานในระบบท่อ : หากสระว่ายน้ำมีระบบท่อที่ยาวหรือโค้งมาก จะทำให้เกิดแรงต้านการไหลของน้ำ คุณอาจต้องเลือก ปั๊มสระว่ายน้ำที่มีกำลังเพิ่มขึ้น หรืออาจจะใช้ท่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดแรงเสียดทาน ประเภทตัวกรอง : ตัวกรองแต่ละประเภท เช่น ทราย เซรามิก หรือกระดาษ ก็มีข้อกำหนดแรงดันน้ำที่แตกต่างกัน ตัวกรองทรายมักต้องการแรงดันสูงกว่า ในขณะที่ตัวกรองเซรามิกมีข้อดีในเรื่องของการกรองที่ละเอียดกว่า แต่ต้องการการบำรุงรักษามากขึ้น ระยะห่างระหว่างปั๊มและสระว่ายน้ำ : ระยะห่างมีผลต่อประสิทธิภาพของปั๊มสระว่ายน้ำ หากปั๊มตั้งอยู่ไกลจากสระว่ายน้ำ เราอาจต้องเพิ่มกำลังของปั๊มน้ำ หรือใช้ท่อที่ลดแรงเสียดทานเพื่อชดเชยการสูญเสียแรงดัน สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม : หากสระว่ายน้ำอยู่ในพื้นที่ที่มีลมแรง ฝุ่นละออง หรือต้นไม้เยอะ ควรเลือกปั๊มสระว่ายน้ำที่มีความสามารถในการหมุนน้ำได้บ่อยขึ้น เพื่อรักษาความสะอาดของน้ำ นอกจากนี้ อาจต้องใช้อุปกรณ์กรองเสริม เพื่อป้องกันเศษใบไม้หรือฝุ่นเข้าสู่ระบบนั่นเอง อุณหภูมิของน้ำ : หากสระว่ายน้ำนั้นมีระบบทำความร้อน , น้ำอุ่น อาจจะมีผลต่อความหนืดและการไหลของน้ำ เราอาจต้องเลือกปั๊มสระว่ายน้ำที่รองรับต่ออุณหภูมิของเหลวได้มากขึ้น การใช้งานเพิ่มเติม : หากสระว่ายน้ำมีการทำเพิ่มเติม เช่น น้ำตก น้ำพุ หรือระบบสปา อาจต้องเพิ่มปั๊มหรือเลือกปั๊มน้ำที่รองรับกับการไหลเวียนที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ เพื่อให้อุปกรณ์สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวกรองทรายหรือตลับ Sand Tank รุปแบบไส้กรองอาจจะเป็นการกรองดินเบา (DE) ไส้กรองสำหรับทราย หรือไส้กรองแบบตลับ โดยในส่วนของไส้กรอง DE จะมีราคาแพงที่สุด แต่ได้น้ำในสระที่สะอาดสุดเหมือนกัน ไส้กรองแบบตลับนั้นดูแลได้ง่าย ถ้าเราทำความสะอาดทุก 4 ถึง 6 เดือน ตัวกรองนั้นก็จะมีอายุการใช้งาน 2 - 4 ปี ส่วนตัวกรองทรายนั้นมีราคาถูกที่สุด แต่ไม่สามารถกรองน้ำได้ดีเหมือนแบบ DE และตัวกรองประเภทอื่นๆ การติดตั้ง ปั๊มสระว่ายน้ำที่ถูกต้อง การติดตั้งตัวเครื่องปั๊มน้ำ ควรที่จะทำการติดตั้งให้อยู่ภายในบริเวณสระน้ำ หรือให้ใกล้สระน้ำมากที่สุดและจัดวางเอาไว้ในที่ที่เหมาะสม รวมถึงควรมีความมั่นคงแข็งแรงเพื่อเป็นไปตามความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน การเลือกเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อน้ำที่ ใช้ควรมีขนาดใหญ่กว่าหรือเท่ากับท่อน้ำผั่งขาออกของปั๊มน้ำ หากเป็นไปได้ควรจะใช้ท่อดูดขนาดเส้นผ่าสูญกลางไม่เล็กกว่า 2 นิ้ว รางรับน้ำที่ล้นออกมาควรจะมีความลึกอยู่ที่ 20 cm ปั๊มสระว่ายน้ำ ส่วนการคำนวณพื้นที่สำรองน้ำกรณีที่มีผู้ลงใช้งานเต็มสระดังนี้ : ต่อ 1 คนจะใช้พื้นที่ 1 ตรม. 1 คน จะแทนที่น้ำ ประมาณ 75 ลิตร 75 x จำนวนคนที่ลงเต็มสระ = ส่วนของน้ำที่ต้องเตรียมพื้นที่สำรอง สระส่วนตัวต่อ 1 คนใช้จะพื้นที่คิดเป็น 2 ตรม. / 1 คน จะมีปริมาตรแทนที่น้ำอยู่ที่ประมาณ 75 ลิตร 75 x จำนวนคนที่ลงเต็มสระ ทำการคำนวนตามสูตร ( ขนาดสระ (ตรม.) ÷ 2 ) = น้ำที่ต้องเตรียมพื้นที่สำรอง " สุดท้ายนี้หวังว่าผู้ที่ต้องการใช้งานปั๊มสระว่ายน้ำ จะได้ความรู้กันไปไม่มากก็น้อยนะครับ ... และอย่าลืมคำนึงถึงลักษณะการใช้งานให้ถูกประเภท และบริการหลังการขายของแบรนด์นั้นๆด้วยจ้า " ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- ถังแรงดันไดอะแฟรมคืออะไร? สำคัญอย่างไร?
ถังแรงดันไดอะแฟรม ถังแรงดันไดอะแฟรมคืออะไร? สำคัญอย่างไร? ถังควบคุมแรงดันน้ำ หรือ Pressure Tank คือ ถังที่มีไว้เก็บน้ำซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจากการสูบของปั๊มน้ำกับการไหลออกของน้ำที่จุดจ่ายน้ำมาหน่วงเก็บไว้ในตัวถัง และจ่ายออกไปแทนปั้ม มักนิยมใช้ตาม อาคาร คอนโดเนียม โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือน เป็นต้น โครงสร้าง ถังแรงดันไดอะแฟรมมีลักษณะเป็นถังปิด โดยมี “ไดอะแฟรม” (แผ่นยางยืดหยุ่น) อยู่ภายในแบ่งเป็นสองส่วน 1. ส่วนที่มีน้ำ ซึ่งเชื่อมต่อกับท่อส่งน้ำ 2. ส่วนที่มีอากาศ ที่อยู่เหนือไดอะแฟรม หลักการทำงานของถังควบคุมแรงดัน หลักการการทำงาน คือ เมื่อเปิดปั๊มน้ำ ปั๊มจะทำการสูบน้ำไปเก็บไว้ในถังก่อนซึ่งจะมีไดอะแฟรมภายในถังทำหน้าที่เก็บน้ำอยู่ ถุงก็จะขยายตัวออก จนเมื่อน้ำเต็มถุงแล้วแมจะตัดการทำงาน และเมื่อเรามีการใช้น้ำน้ำจะถูกส่งออกจากถังแรงดันก่อนเป็นอันดับแรกโดยปั๊มน้ำยังไมได้เริ่มการทำงาน อย่างเช่น ตามบ้าน อาคารที่ใช้ปั๊มน้ำทั่วไปที่ไม่มีถังควบคุมแรงดันน้ำ พอเปิดน้ำปั๊มจะเริ่มทำงานทันทีอาจทำให้เกิดเสียงดัง เนื่องจากแรงดันของความแรงปั๊มในท่อ ทำให้เกิดปฎิกิริยาที่เรียกว่า Water Hammer แต่เมื่อถ้าใช้ถังควบคุมแรงดันน้ำ แล้วเปิดน้ำ ปั๊มจะยังไม่ทำงาน แต่จะใช้น้ำในถังก่อน จนแรงดันตก ปั๊มจึงจะกลับมาทำงานอีกครั้ง เพื่อสูบน้ำเข้ามาเติมในถัง ถังแรงดันไดอะแฟรมสำคัญอย่างไร ? 1. รักษาแรงดันน้ำให้คงที่: เมื่อเราเปิดใช้น้ำ น้ำในถังแรงดันจะถูกนำมาใข้งานก่อน ทำให้แรงดันน้ำไม่ลดลงอย่างรวดเร็ว และปั๊มน้ำจะไม่ทำงานบ่อยเกินไป ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของปั๊มน้ำ 2. ป้องกันปัญหา Water Hammer : เมื่อปั๊มหยุดทำงานโดยฉับพลัน น้ำที่ไหลในท่อจะหยุดลงด้วยทันที อาจทำให้เกิดแรงกระแทกหรือแรงดันกระชากในท่อ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อท่อและอุปกรณ์ต่างๆ ถังไดอะแฟรมมีส่วนช่วยดูดซับแรงกระแทกเหล่านี้ไว้ 3. ลดการทำงานของปั๊ม : เนื่องจากมีถังไดอะแฟรมเก็บน้ำสำรองไว้ ทำให้ปั๊มน้ำไม่ต้องทำงานบ่อยครั้ง ช่วยประหยัดพลังงาน 4. ป้องกันปั๊มทำงานเมื่อน้ำแห้ง : ถ้าไม่มีถังไดอะแฟรม ปั๊มอาจทำงานจนน้ำในระบบหมด ทำให้ปั๊มทำงานแห้งและเสียหายได้ สำหรับการทำงานของปั๊มน้ำที่ไม่มีถังแรงดัน ในระหว่างที่ปั๊มน้ำหยุดทำงานเนื่องจากความดันอยู่ในระดับที่ต้องการแล้ว หากมีการใช้งานน้ำขึ้นมา ความดันในระบบจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ปั๊มน้ำต้องทำงานอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น ปั๊มน้ำอาจจะทำงานต่อเนื่อง หรือทำงานแบบตัดต่อบ่อยๆ ทำให้อายุการใช้งานของปั๊มน้ำนั้นลดลง เมื่อปั๊มน้ำหยุดทำงาน หากมีการใช้น้ำความดันของระบบจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดที่ปั๊มน้ำกลับมาทำงานอีกครั้ง ทำให้ระหว่างนี้ความดันในระบบไม่คงที่ ทำให้แรงดันไม่สม่ำเสมอ น้ำที่ใช้นั้นอาจจะแรงไม่สม่ำเสมอหรือน้ำเบา ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานน้ำในปริมาณมาก เช่น ในอาคารสูง จึงต้องควรมีถังแรงดัน ประกอบเป็นชุด Bootster Pump ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องอายุการใช้งานปั๊ม และแรงดันน้ำไม่สม่ำเสมอได้ Mini Booster ถังแรงดันไดอะแฟรม ส่วนประกอบของถังแรงดัน ตัวถังแรงดัน ตัวถังจะมีทั้งแบบทรงตั้งและทรงนอน โดยมีถุงยางไดอะแฟรมอยู่ภายใน ถุงไดอะแฟรม คือถุงที่ใช้บรรจุน้ำภายในถังแรงดันไดอะแฟรม โดยส่วนใหญ่มักมีสีดำ ผลิตมาจากวัสดุหลากหลาย เช่น Butyl ที่สามารถใช้งานกับน้ำดื่มได้ และคุณภาพสูง , EPDM เป็นยางสังเคราะห์ที่มีความยืดหยุ่นสูง , หรือยางธรรมชาติ แรงดันลม ลมที่อยู่ระหว่างถังกับไส้ยางไดอะแฟรม เพรชเชอร์เกจ (มีเฉพาะบางรุ่น ) อุปกรณ์ใช้สำหรับวัดแรงดันภายในถัง วิธีการเลือกซื้อ ต้องรู้แรงดันของน้ำที่ใช้งาน เพื่อปรับความดันให้เหมาะสมกับการใช้งาน เลือกขนาดให้เหมาะสมกับการใช้งาน ทั้งปั๊มน้ำและถังแรงดัน เลือกวัสดุที่มีคุณภาพ ข้อควรระวังในการใช้งาน ควรหมั่นเช็คลมในถังแรงดัน ทุก ๆ เดือน ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- Reverse Osmosis หรือ RO คืออะไร?
ระบบ Reverse Osmosis คือ การกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำโดยใช้แรงดันจาก ปั๊มน้ำ สำหรับอัดเข้าเมมเบรน ชนิดพิเศษที่มีรูพรุนขนาดเล็กมาก (ละเอียด 0.0001) ไมครอน เพื่อเป็นการปิดกั้นสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ไม่ให้ผ่านออกไปได้ เช่น เชื้อไวรัส , สารตะกั่ว , สารหนู , ยาฆ่าแมลง , ปุ๋ยเคมี สามารถกำจัดสารเคมีโลหะหนักและเชื้อโรคต่างๆ ในน้ำได้มากถึง 95 % Reverse Osmosis หรือ RO คืออะไร? ระบบ RO ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีการกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และยังได้รับการรับรองจาก EPA (Environmental Protection Agency – USA) ซึ่งเป็นองค์กรปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาว่าสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อน และสารพิษต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะน้ำ RO มีความสะอาด รวมถึงมีรสชาติที่ดอีกด้วย กรองน้ำระบบ RO หลักการทำงานของ Reverse Osmosis (RO) ก่อนที่น้ำจะไปถึงไส้กรอง RO จะต้องผ่านไส้กรองด่านหน้าก่อน ซึ่งจะเป็นไส้กรองสำหรับกำจัดตะกอน และคลอรีน เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้ ไปอุดตันหรือสร้างความเสียหายให้กับไส้กรอง RO ซึ่งการจะเป็นการดี ถ้าเรามีไส้กรองด้านหน้า 3 อัน ได้แก่ ไส้กรอง PP, ไส้กรองคาร์บอน และไส้กรองเรซิ่น เมื่อน้ำไหลผ่าน 3 ชั้นนี้แล้ว น้ำจะถูกปั๊มอัดแรงดัน ดันน้ำเข้าสู่ไส้กรอง RO หลังจากผ่านไส้กรอง RO มาแล้วก็จะเจอกับ ไส้กรอง Post Carbon ตัวนี้จะทำหน้าที่กำจัด สี กลิ่น คลอรีน และปรับรสชาติของน้ำให้น่าดื่มเป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนการกรองน้ำในแต่ละขั้นจะเป็น ดังนี้ 1. ไส้กรอง PP Sediment Filter : ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกขนาดเล็กที่ปนเปื้อนมากับน้ำ เช่น ฝุ่น ตะกอน สารแขวนลอย เป็นขั้นตอนที่ 1 ของการกรองน้ำ 2. ไส้กรอง Pre-Carbon / Block Carbon Filter : ทำหน้าที่กรองคลอรีน กลิ่น สี กำมะถัน สารอินทรีย์ และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่ปะปนมากับน้ำเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการกรองน้ำ หากขาดไส้กรอง 2 ขั้นตอนแรก ไส้กรอง RO จะอุดตันเร็วมากๆ 3. ไส้กรอง Resin / Ion Exchange Filter : ทำหน้าที่ดักจับหินปูนที่ปะปนมากับน้ำ และกำจัดความกระด้างของน้ำ เป็นขั้นตอนที่ 3 ของการกรองน้ำ หากขาดขั้นตอนนี้จะทำให้น้ำมีความกระด้าง ดื่มแล้วรู้สึกไม่ลื่นคอ 4. ไส้กรอง RO Membrane : กรองสารละลายมวลรวม (Total Dissolve Solids หรือเรียกย่อๆว่า TDS) จะทำให้น้ำ ปราศจากเชื้อโรค ไวรัส สิ่งสกปรกและสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นสารหนู ตะกั่ว แบคทีเรีย จึงมั่นใจได้ว่าน้ำที่ผ่านจาก ระบบ RO เป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์สูงสุด เนื่องจากระบบอื่นไม่สามารถกรองละเอียดถึงระดับไวรัสได้ 5. ไส้กรอง Post Carbon : ทำหน้าที่กำจัดกลิ่น สี สารเคมีปนเปื้อน และสารกัมมันตรังสี รวมถึงปรับรสชาติของน้ำให้มี ความเป็นธรรมชาติและน่าดื่ม ไส้กรอง RO น้ำจากระบบ RO ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน หลังจากน้ำผ่านการกรองครับทุกขั้นตอนแล้ว น้ำจะถูกเก็บไว้ในถังแรงดันเพื่อสำรองน้ำจนกว่าจะเต็มถัง ระบบ RO ก็จะปิดการทำงาน และเมื่อเวลาเราเปิดก๊อกน้ำ น้ำก็จะไหลจากถังออกมาสู่ก๊อกน้ำที่เราเปิด ระบบ RO มีการแบ่งน้ำออกเป็น 2 ส่วน น้ำดี – เป็นน้ำที่ผ่านการกรองเพื่อใช้ดื่ม มีประมาณ 30-40% น้ำทิ้ง – เป็นน้ำที่มีสารปนเปื้อนหลงเหลือ โดยน้ำส่วนนี้จะไหลออกไปอีกสายหนึ่งเพื่อลงท่อน้ำทิ้ง จึงต้องมี Flow Restrictor เพื่อช่วยจำกัดอัตราปริมาณน้ำทิ้งเพื่อช่วยประหยัดน้ำ ทำไมต้องมี ถังแรงดัน? ถังแรงดัน RO เปรียบเสมือนถังน้ำสำรองของระบบ RO เพราะการผลิตน้ำของระบบ RO จะปล่อยน้ำออกมาอย่างช้าๆ ใช้เวลานานกว่าระบบอื่นค่อนข้างมาก หากมีการใช้น้ำอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการสำรองน้ำเลย เราจะไม่สามารถใช้น้ำได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้ามีถังแรงดันจะทำให้เราสามารถใช้น้ำต่อเนื่องได้เลย โดยไม่ต้องรอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณถังแรงดันด้วยว่ามีขนาดกี่ลิตร ถังแรงดัน เราควรดื่มน้ำจากระบบ Reverse Osmosis ไหม? ถึงแม้ว่าน้ำที่ได้จากระบบ Reverse Osmosis (RO) จะกำจัดแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียมออกจากน้ำไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้น้ำ RO ส่งผลเสียกับเรา เราดื่มน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับร่างกาย หล่อลื่นข้อต่อ เพราะร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 70-80% ด้วยกัน ดังนั้นเราควรดื่มน้ำจากระบบ RO ไหม ? ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเอง ไม่มีอะไรน่ากังวล " อายุการใช้งานของไส้กรองน้ำ RO " ไส้กรองน้ำแต่ละชนิด มีอายุการใช้งานแตกต่างกันครับ อย่างไส้กรองน้ำ PP Sediment, ไส้กรองน้ำ Pre-Carbon, ไส้กรองน้ำ Resin และไส้กรองน้ำ Post Carbon จะมีอายุการใช้งานประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำของแต่ละพื้นที่ แต่ไส้กรองน้ำ RO มีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี " ข้อดีของระบบ Reverse Osmosis " เป็นระบบการกรองที่มีความสะอาดที่สุด กรองน้ำได้ละเอียดมากถึง 0.0001 ไมครอนนิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดตามท้องตลาด, ยา, วงการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ,และทุกวงการที่ต้องการความสะอาดของน้ำเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำบาดาล น้ำกร่อย หรือน้ำอะไรก็ตามที่ผ่านระบบ RO สามารถนำไปใช้บริโภคได้ทันที ในการนำระบบกรองน้ำ RO เข้ามาใช้ ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าและบริการจะมีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เป็นการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ กำจัดสารละลายมวลรวม หรือของแข็งที่อยู่ในน้ำ ( Total Dissolve Solids หรือเรียกย่อๆว่า TDS) จนกลายเป็น 0 ได้แก่ - สารเคมีที่เป็นพิษและอันตรายต่อร่างกาย - คลอรีนที่มีกลิ่นเหม็น - โลหะหนัก สารตกค้าง สารปนเปื้อน สารพิษ - เชื้อโรค แบคทีเรีย ฝุ่น ผง ละออง - แร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และอื่นๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้น้ำมีรสชาติดี ไม่มีกลิ่นเหม็น เหมาะกับการดื่มน้ำและใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆที่ใช้น้ำในการผลิต เช่น ยา อาหารและเครื่องดื่ม น้ำแข็ง ที่สำคัญไม่ว่าแหล่งน้ำเราจะเป็นน้ำประปา น้ำบาดาล หรือน้ำกร่อยก็ใช้ระบบนี้กรองได้ทั้งหมด เป็นระบบกรองที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับมากที่สุด เพราะสะอาด ปลอดภัย และรสชาติอร่อย ทำให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง และใช้งานได้หลากหลาย >> บทความเริ่มต้นธุรกิจน้ำดื่ม << ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- Cavitation คืออะไร สำคัญอย่างไร
Cavitation คืออะไร ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Cavitation (คา-วิ-เต-ชั่น) กันครับ ว่ามันคืออะไร ? และสำคัญอย่างไร ? Cavitation effect หรือ โพรงอากาศ เป็นปรากฏการณ์ที่มักจะสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์จำพวก ปั้ม (Pump) และ วาล์วควบคุม (Control valve) และอุปกรณ์อื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับของเหลว ความดัน และอุณหภูมิ ซึ่งลักษณะของความเสียหายจะมีลักษณะคล้ายเป็นรูพรุน เหมือนโดนเข็มเจาะด้านล่าง ซึ่ง Cavitation Effect หรือ โพรงอากาศนี้ สามารถเจาะเข้าเนื้อโลหะหรือเหล็กได้เลยทีเดียว ความเสียหายจาก Cavitation Cavitation คืออะไร ? Cavitation หลักนั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ 1. เมื่ออุณหภูมิของเหลวเพิ่มขึ้น 2. เมื่อความดันลดลง ( การลดความดัน ที่เปรียบเสมือนแรงกดพื้นผิวของเหลวที่ไหลไม่ให้กลายตัวเป็นไอ การลดความดันก็มีหลายแบบอาจใช้ vacuum pump ) การเกิด Cavitation Cavitation คือ การเกิดโพรงอากาศในของเหลว จะเกิดขึ้นเมื่อแรงดันในของเหลวที่อุณหภูมิคงที่ ลดลงต่ำกว่าจุดเดือดไอน้ำ และเกิดเป็นเป็นไอขึ้นมา จากนั้นของเหลวที่กลายเป็นไอกลับกลายมาเป็นของเหลวอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่สร้างความเสียหายนั้น เกิดจากในช่วงของเหลวเป็นไอ และกลับกลายเป็นของเหลวอีกครั้ง จะเกิดปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า “Single cavitation bubble” ซึ่งก็คือ การที่หยดของเหลวเกิดการยุบตัว โดยหยดของเหลวมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.3 mm แล้วส่วนหนึ่งกลายสภาพเป็นของเหลวที่เป็นก๊าซแล้ว จะเกิด Shear flow ทำให้ดูดก๊าซเกิดเป็นปรากฏการณ์ microjet พุ่งเข้าทำลายเนื้อชิ้นงานเกิดเป็นความเสียหายแบบรูพรุน (Pitting) การเกิด Cavitation ถ้าเป็นในกรณีของปั๊มน้ำ ตัวอย่างก็เช่น ถ้าความดันด้านขาดูดไม่เพียงพอเท่าที่ปั้มน้ำต้องการ ก็สามารถทำให้เกิด Cavitaiton ได้เช่นกัน Pump Cavitation โดยหากเราสังเกตุทิศทางเข้าของปั้มจะพบว่าช่วงขาดูดปั้มจะเกิดการลดลงของความดันของของเหลว หากความดันที่ถูกดูดลดลง (Suction pressure)น้อยกว่าความดันไอ (Vapor pressure) สถานะของของเหลวจะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซ แล้วเมื่อของเหลววิ่งเข้าไปในตัวปั้มเรื่อยๆ ปั้มจะสร้างความดันกลับมา ของเหลวที่อยู่ในสถานะก๊าซก็จะกลับไปเป็นของเหลวอีกครั้งนึง ซึ่งจะก่อให้เกิด Cavitation effect เข้าไปทำลายชิ้นส่วนด้านในอุปกรณ์ของตัวปั้ม ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นรูพรุนนั่นเอง Pump Cavitation ดังนั้นในการป้องกันไม่ให้เกิด Cavitation ในกรณีนี้ ต้องตรวจสอบความดันขาเข้าปั๊ม ต้องให้ไม่น้อยกว่าสเป็คที่ปั๊มน้ำต้องการ ไม่ใช่แค่ปั้มที่จะเกิดความเสียหายจาก Cavitation effect กรณีที่พบบ่อยจะเป็นกรณีของวาล์วด้วยเช่นกัน คือ การที่วาล์วถูกหรี่มากๆ จะทำให้ของเหลวที่ผ่านหน้าวาล์วมีความเร็วสูง ซึ่งเมื่อของเหลววิ่งผ่านด้วยความเร็วสูง ความดันก็จะลดลง และทำให้เกิดการเปลี่ยนสถานะของเหลวกลายเป็นไอ และเมื่อผ่านหน้าวาล์วไปความเร็วลดลงความดันเพิ่มขึ้น ก็จะกลับมาเป็นของเหลวอีกครั้งทำให้เกิด Cavitation effect ทำให้ด้านในวาล์วเกิดความเสียหายด้วยเช่นกัน ความเสียหายจาก Cavitation บทความ >> Water Hammer คืออะไร ? << ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- ปั๊มเจ็ท VS ปั๊มบาดาล ใช้แบบไหนดีกว่ากัน ?
บางคนอาจมีคำถามในใจว่า บริเวณพื้นที่ที่เราต้องการสูบน้ำ ขนาดของบ่อที่ท่านมีแบบนี้ ควรเลือกใช้ปั๊มชนิดไหนดี โดยเฉพาะการสูบหรือดูดน้ำจากบริเวณบ่อที่ค่อนข้างลึก โดยมีจุดประสงค์ในใช้งานเพื่อชลประทานขนาดเล็กหรือสปริงเกอร์, งานกาเกษตร , อุตสาหกรรม ,และประปาในครัวเรือน ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าเราควรจะใช้ปั๊มน้ำอะไร ? ปั๊มเจ็ท VS ปั๊มบาดาล ใช้แบบไหนดีกว่ากัน โดยการเปรียบเทียบปั๊มที่สามารถสูบน้ำจากบ่อได้ลึกใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ ปั๊มบาดาล และ ปั๊มเจ็ท นั้นมีข้อดีที่แตกต่างอยู่ได้แก่ 1 .ปั๊มเจ็ท ปั๊มเจ็ท ปั๊มเจ็ทคู่ มีให้เลือกทั้ง ปั๊มเจ็ท คู่ และ ปั๊มเจ็ทเดี่ยว ใช้กับบ่อขนาดเล็กได้ดี ได้ถึง 2 นิ้ว มีการเพิ่มแรงดันเสริมในการไหลเวียนของน้ำ มักมาพร้อมกับอุปกรณ์ควบคุมการทำงาน จึงทำให้ใช้งานได้สะดวกและง่าย ปั๊มน้ำติดตั้งบนบก จึงทำให้ดูแลรักษาง่าย ดูดลึกสูงสุดประมาณ 30-45 เมตร ขั้นตอนการติดตั้งซับซ้อนกว่าปั๊มบาดาล 2. ปั๊มบาดาล ปั๊มบาดาล มีให้เลือกทั้งแบบไฟบ้านธรรมดาและแบบใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ มีให้เลือกหลายรุ่น หลายขนาดมากกว่าปั๊มเจ็ท ใช้กับบ่อขนาด 3 นิ้วขึ้นไป และขนาดที่หลากหลายกว่า การติดตั้งค่อนข้างง่ายและไม่ซับซ้อน ส่งน้ำได้สูงมาก การบำรุงรักษาจำเป็นต้องดึงปั๊มน้ำขึ้นมาจากบ่อ สรุป ระดับน้ำ ถ้าน้ำอยู่ระดับผิวดินไม่เกิน 9 เมตร การเลือกใช้ปั๊มเจ็ทจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าระดับน้ำผิวดินลึกระหว่าง 9-30 เมตรควรเลือกใช้ปั๊มบาดาลมากกว่า เพราะสามารถส่งสูงและส่งไกลได้มากกว่าปั๊มเจ็ท JET PUMP ปั๊มแบบหัวฉีดหลักการทำงานของปั๊มแบบหัวฉีด ( Jet Pump ) น้ำจากหัวฉีดซึ่งมีแรงดันสูงจะพุ่งผ่านช่องแคบของท่อที่มีลักษณะเป็นคอคอด (Venturi) และด้วยความเร็วที่พุ่งออกจากหัวฉีด ทำให้น้ำที่อยู่รอบๆไหลตามสายน้ำผ่านท่อคอคอดเข้าไปด้วย และไหลเข้าไปสู่ทางดูดของปั๊มอีกอัน เช่น ปั๊มแบบท่อนสูบ หรือปั๊มแบบแรงเหวี่ยงเป็นต้น ปริมาณน้ำที่ออกจากปั๊มส่วนหนึ่งจะถูกส่งย้อนกลับเข้าไปสู่หัวฉีดใหม่ อีกส่วนที่เหลือก็จะไหลออกไปเพื่อใช้งาน การทำงานปั๊มเจ็ท ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- ปั๊ม Axial Flow: การทำงานเรียบง่ายและทรงพลัง
Axial Flow Pump ปั๊มแบบ Axial Flow หรือ ปั๊มแกน เป็นปั๊มชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อให้ของไหลไหลผ่านในแนวแกนของเพลาหมุน ซึ่งต่างจากปั๊มแรงเหวี่ยงที่ของไหลจะถูกเหวี่ยงออกไปตามแนวรัศมี หลักการทำงานเบื้องต้น ใบพัดหมุน : ภายในปั๊มจะมีใบพัดหลายใบเรียงกันตามแนวแกน เมื่อใบพัดหมุนรอบตัวเอง มันจะผลักดันของไหลที่อยู่ตรงหน้าให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวแกน แรงขับเคลื่อน : แรงที่ทำให้ของไหลเคลื่อนที่ได้นั้นเกิดจากการที่ใบพัดแต่ละใบมีมุมที่ออกแบบมาให้ดันของไหลไปข้างหน้า เมื่อใบพัดหมุนรอบ ๆ ของไหลก็จะถูกผลักดันไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการไหลของของไหล การไหล : เนื่องจากใบพัดหลายใบทำงานร่วมกัน ของไหลจึงถูกเร่งให้มีความเร็วมากขึ้น และไหลผ่านท่อออกไปอย่างต่อเนื่อง ปั๊มแบบ Axial Flow อัตราการไหลสูง : ปั๊มชนิดนี้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการอัตราการไหลสูง เช่น ระบบระบายน้ำ ระบบทำความเย็น และระบบชลประทาน ความดันต่ำ : แม้ว่าจะให้อัตราการไหลสูง แต่ปั๊มแบบ Axial Flow มักให้ความดันไม่สูงมากนัก จึงเหมาะสำหรับใช้งานที่ต้องการส่งของไหลไปในระยะทางไม่ไกลมากนัก โครงสร้างเรียบง่าย : การออกแบบของปั๊มชนิดนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการผลิตและบำรุงรักษาต่ำ Axial Flow Structure การใช้งาน ปั๊มแบบ Axial Flow มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมน้ำ : ใช้สำหรับสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ สูบน้ำเสีย หรือใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย อุตสาหกรรมการเกษตร : ใช้สำหรับสูบน้ำเพื่อการชลประทาน อุตสาหกรรมกระดาษ : ใช้สำหรับสูบน้ำในกระบวนการผลิตกระดาษ อุตสาหกรรมพลังงาน : ใช้ในระบบทำความเย็นของโรงไฟฟ้า สรุป ปั๊มแบบ Axial Flow เป็นปั๊มที่ทำงานโดยอาศัยหลักการผลักดันของไหลให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวแกนของเพลาหมุน ด้วยข้อดีในเรื่องของอัตราการไหลสูงและโครงสร้างที่เรียบง่าย ทำให้ปั๊มชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม Axial Flow Pump ข้อดี เพมาะกับงานที่ต้องการเคลื่อนย้ายของเหลวเป็นจำนวนมากในแรงดันต่ำ เช่น งานระบบระบายน้ำและชลประทาน ประสิทธิภาพสูงในการเคลื่อนย้ายของเหลวจำนวนมากในท่อขนาดใหญ่ การออกแบบเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้การบำรุงรักษาง่าย ต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษาต่ำกว่าปั๊มน้ำบางประเภท ทนทาน เหมาะสำหรับงานหนัก ให้การไหลราบรื่นและต่อเนื่อง ลดการสูญเสียพลังงาน ข้อเสีย ไม่เหมาะกันการใช้งานแรงดันสูง ประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความหนืดสูง ขนาดใหญ่ จึงใช้พื้นที่ในการติดตั้งมาก ต้นทุนการผลิตและจัดการระบบใบพัดอาจสูงกว่าปั๊มอื่นในกลุ่มประเภทแรงดันต่ำ ใบพัดอาจสึกกร่อนเร็วกว่าถ้าใช้กับของเหลวที่มีสารกัดกร่อน การควบคุมทิศทางการไหลที่แม่นยำอาจยากเมื่อเทียบกับปั๊มน้ำแบบอื่น cr. รศ.ดร.เฉลิมเกียรติ วงศ์วนิชทวี ข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 02-292-1067-70 Youtube : Leopump ประเทศไทย Line Official : @775ruust Facebook : LEOpumpThailand TikTok : Leopumpthailand
- การต่อ Ejector ของปั๊มรุ่น AJDM
AJDM ปั๊มเจ็ทใช้ดูดน้ำในบ่อลึกแบบสองท่อ ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับหัว Elector ซึ่งจะมีเป็น Accessories แยกไปให้ด้วย ซึ่งการประกอบหัว Ejector ไม่ถูกต้องจะทำให้ปั๊มอาจดูดน้ำไม่ขึ้น ดังนั้นมาดูการต่อหัว Ejector ที่ถูกต้องกันครับ ดาวน์โหลดเอกสารการต่อ Ejector ของปั๊มรุ่น AJDM
- ข้อควรรู้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับการเลือกกำลังปั๊มและขนาดแท้งค์น้ำ
การเลือกกำลังปั๊มและขนาดแท้งค์น้ำ